ตำรวจบุกรวบแก๊งยักยอกเงินมูลนิธิศูนย์ส่งเสริมพระพุทธศาสนาฯ 41 ล้านกบดานคอนโดฯย่านรามคำแหง
เมื่อวันที่ 19 ก.ย. 66 กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) พร้อมเจ้าหน้าที่ชุดจับกุม ร่วมกันจับกุม นายชะโลมฯ อายุ 52 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ที่ 12/2565 ลงวันที่ 12 กันยายน 2565 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ ความผิดต่อพระราชบัญญัติธุรกิจสถาบันการเงิน ความผิดเกี่ยวกับเอกสาร ลักทรัพย์”
สถานที่จับกุม บริเวณคอนโดแห่งหนึ่งย่าน ถนนรามคำแหง แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร
พฤติการณ์ สืบเนื่องจาก เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2559 มูลนิธิศูนย์ส่งเสริมพระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย ได้มีมติให้ย้ายเงินฝากจากธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) ไปยังธนาคาร กรุงไทย จำกัด (มหาชน) สาขาถนนร่มเกล้า
ต่อมาเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2559 พระครูปลัดสุชาติฯ ประธานมูลนิธิศูนย์ส่งเสริมพระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย กับ นายชาญบุณฑ์ฯ กรรมการ และเหรัญญิก ของมูลนิธิศูนย์ส่งเสริมพระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย ผู้ต้องหาที่ 1 ได้นำฝากแคชเชียร์เช็ค ของธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) ไปเข้าบัญชีธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ประเภทเงินฝากประจำ จำนวน 41,045,966.67 บาท แต่เนื่องจากเป็นวันศุกร์ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ต้องเรียกเก็บเงิน ตามเช็คไปยังธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) เพื่อนำเงินเข้าบัญชีธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ในวันจันทร์ที่ 22 สิงหาคม 2559 นายวิรัตน์ฯ ผู้ต้องหาที่ 2 ซึ่งเป็นพนักงานธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) จึงให้นายชาญบุณฑ์ฯ ผู้ต้องหาที่ 1 และพระครูปลัดสุชาติ ฐานจาโร ลงชื่อในใบนำฝากเงิน และใบถอนเงินที่ยังไม่ได้กรอกข้อความไว้
ต่อมาเมื่อธนาคารกรุงไทยฯ สามารถเรียกเก็บเงินตามเช็คเพื่อนำเงินเข้าบัญชีธนาคารกรุงไทยฯ ได้แล้วนายวิรัตน์ฯ ผู้ต้องหาที่ 2 ได้ถอนเงินจำนวน 41,045,966.67 บาท นำเงินเข้าบัญชีธนาคารกรุงไทยฯ ประเภทเงินฝากประจำ ของมูลนิธิศูนย์ส่งเสริมพระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย และได้ใช้เอกสารสิทธิใบถอนเงินที่มีลายมือชื่อปลอมของพระครูปลัดสุชาติฯ ทำการถอนเงินจำนวนเดียวกันจากบัญชีธนาคารกรุงไทยฯ ประเภทฝากประจำ ของมูลนิธิศูนย์ส่งเสริมพระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย ไปยังบัญชีธนาคารของบริษัท โอเวอร์ซี เพาเวอร์ จำกัด
ต่อมา วันที่ 13 กันยายน 2559 บริษัท โอเวอร์ซี เพาเวอร์ จำกัด ได้ถอนเงินจำนวน 6,100,000 บาท และนำเงินเข้าบัญชีธนาคารกรุงไทยฯ ประเภทออมทรัพย์ ของมูลนิธิศูนย์ส่งเสริมพระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นผลตอบแทนร้อยละ 5 ที่จะให้กับมูลนิธิศูนย์ส่งเสริมพระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย
จากนั้นบริษัท โอเวอร์ซี เพาเวอร์ จำกัด ถอนเงินจากบัญชีธนาคารกรุงไทยฯ นำเงินเข้าบัญชีธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) ของนายชาญบุณฑ์ฯ ผู้ต้องหาที่ 1 รวมเงิน จำนวน 30,000,000 บาท และนายชาญบุณฑ์ฯ ได้ถอนเงินจากบัญชีธนาคารของตนนำฝากเข้าบัญชี ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ของบริษัท กวิณลักษณ์ จำกัด เป็นจำนวนหลายครั้ง รวมจำนวนเงิน 30,000,000 บาท มูลนิธิศูนย์ส่งเสริมพระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย จึงร้องทุกข์กล่าวโทษต่อเจ้าพนักงานตำรวจ กองบังคับการตำรวจนครบาล 3 ให้ดำเนินคดีกับนายชาญบุณฑ์ฯ กับพวก
ต่อมา เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.4 บก.ป. สืบสวนทราบว่า นายชะโลมฯ หลบหนีการจับกุมและพักอาศัยอยู่ที่ย่านรามคำแหง-หัวหมาก จึงเดินทางไปตรวจสอบ พบบุคคลมีตำหนิรูปพรรณตรงกันกับ นายชะโลมฯ จำเลยตามหมายจับนี้ เดินออกมาจากห้องพักเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมได้แสดงตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจและเข้าจับกุมตัวนำส่ง ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป