บุกรวบ 'ฤทธิ์' หัวหน้าแก๊งรูดบัตรเครดิตนักท่องเที่ยว 1 เดือน สูญเกือบ 8 ล้านบาท

บุกรวบ 'ฤทธิ์' หัวหน้าแก๊งรูดบัตรเครดิตนักท่องเที่ยว 1 เดือน สูญเกือบ 8 ล้านบาท





ad1

จากการขยายผลแก๊งล้วงกระเป๋านักท่องเที่ยวชาวต่างชาติภายในวัดพระแก้ว เมื่อวันที่ 6 ม.ค. 67 พบว่ามีการนำบัตรเครดิตที่ลักมาไปรูดใช้งาน ถือว่าเป็นภัยสังคมที่กำลังพัฒนาเป็นขบวนการไม่ใช่แค่ “หัวขโมย” ที่มาขโมยบัตรเครดิตของเหยื่อแล้วแอบนำไปรูดเท่านั้น แต่พัฒนาโดยวางแผนเป็นขั้นเป็นตอน ล่าสุด พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น.สั่งให้ พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น.  แกะรอยจนทราบหัวหน้าขบวนการชื่อนายฤทธิ์  ก่อนนำกำลังบุกพังประตูเข้าไปรวบตัวได้ขณะกำลังพยายามลบข้อมูลในโทรศัพท์ พบเครื่องมือรูดบัตรเครดิตและยาเสพติดหลายรายการ และขยายผลพบรังปลวกที่เชื่อมโยงไปถึง “อาเหว่ย” บอสคอลเซ็นเตอร์ชาวจีน

พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. พล.ต.ท.ธนา ชูวงศ์ ผู้ช่วย ผบ.ตร. พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร. สั่งการให้ บช.น. สืบสวนและจับกุมขบวนการดังกล่าวโดยเร็ว เนื่องจากกระทบภาพลักษณ์ของประเทศ และสร้างความเดือดร้อนให้กับนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศ ตลอดจนเป็นสถานที่ชาวไทยให้ความสำคัญ

เมื่อวันที่ 20 มกราคม  2567 เจ้าหน้าที่ สืบนครบาล และชุด PCT5 ร่วมกันสืบสวนติดตามจับกุมตัว ดังนี้

1. นายวรงค์ฤทธิ์  หรือฤทธิ์ อายุ 46 ปี อยู่บ้าน ซ.รามคำแหง 44 แยก 2 แขวงหัวหมาก   เขตบางกะปิ  กรุงเทพฯ ผู้ต้องหาที่ 1 ตามหมายจับศาลอาญาที่ จ.420/2566 ลงวันที่ 24 ต.ค. 66 
ข้อหา  “จำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีน) โดยการมีไว้เพื่อจำหน่าย และเป็นการก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชนโดยไม่ได้รับอนุญาติ และพยายามส่งของต้องห้ามออกไปนอกราชอาณาจักรโดยหลีกเลี่ยงข้อจำกัดหรือข้อห้ามอันเกี่ยวกับของนั้น” 
2. น.ส.จิราภา อายุ 39 ปี อยู่บ้าน ซ.อารีย์ 2 ถ.พหลโยธิน แขวงพญาไท เขตพญาไท กรุงเทพฯ ผู้ต้องหาที่ 2
3. น.ส.มนัสนันท์ อายุ 44 ปี ที่อยู่  ซ.ประชาสงเคราะห์ 1 แขวงดินแดง  เขตดินแดง กรุงเทพฯ  ผู้ต้องหาที่ 3 
             
โดยทั้งสามคนถูกเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมแจ้งข้อหาว่า “ร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาไอซ์หรือ      เมทแอมเฟตามีน) ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และเสพยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาไอซ์หรือ เมทแอมเฟตามีน) โดยผิดกฎหมาย”

ตรวจยึดของกลางจำนวน  6  รายการ
1.ยาไอซ์ 3 ถุง จำนวนทั้งสิ้น 4.6 กรัม
2.เครื่องรูดบัตรเครดิต จำนวน 4 เครื่อง
3.สลิปการใช้บัตรเครดิต จำนวน 30 ใบ
4.โทรศัพท์มือถือ จำนวน 3 เครื่อง (พบข้อมูลการนัดหมายรูดบัตรกับกลุ่มผู้ขโมยบัตรจำนวนมาก)
5.สมุดจดบันทึก จำนวน 2 เล่ม (พบข้อมูลผู้ร่วมขบวนการอีกหลายราย)
6. ม้วนกระดาษสลิปโอนเงิน จำนวน 1 ม้วน
         
จับกุมตัวได้ที่ ห้อง 704 โรงแรมชื่อดังย่านรัชดา แขวงจันทรเกษม เขตจตุจักร กรุงเทพฯ
          
สืบเนื่องจากได้มี “แก๊งล้วงกระเป๋า ลักบัตรเครดิตของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ กำลังระบาดในสถานที่ท่องเที่ยว  โดยขโมยบัตรเครดิตของเหยื่อแล้วแอบนำไปรูดสร้างความเสียหายกับนักท่องเที่ยวที่เดินทางในสถานที่ต่างๆ และเป็นการทำเป็นขบวนการมีการวางแผนอย่างเป็นขั้นเป็นตอนตั้งแต่ หามือขโมยบัตร เตรียมสถานที่ เตรียมเครื่องที่จะใช้รูดบัตร

 โดยในปัจจุบันหลายคดีๆที่เกิดขึ้นในพื้นที่นครบาลพบว่ากลุ่มผู้ก่อเหตุ (มือขโมยบัตร) จะเป็นชาวต่างชาติสัญชาติเวียดนาม จีน โดย พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. ได้สั่งให้สืบนครบาลแกะรอยจากแผนประทุษกรรมจนพบความผิดปกติที่กลุ่มผู้ลงมือก่อเหตุขโมยบัตรเกือบทั้งหมดเป็น “ชาวต่างชาติ” วิเคราะห์จนสกัดออกมาได้ว่า “มีขบวนการที่เป็นคนไทย”ที่อยู่เหนือกว่ากลุ่มผู้ก่อเหตุนี้ จึงสั่งการให้ พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. นำกำลังลงพื้นที่สืบสวน

โดยแกะรอยจากกลุ่มชาวจีนจำนวน 3 ราย ที่ได้ลงมือก่อเหตุขโมยบัตรเครดิตภายจากนักท่องเที่ยวภายในวัดพระแก้ว เมื่อวันที่ 6 ม.ค. 67 ที่ผ่านมาพบพยานหลักฐานไปถึงหัวหน้าขบวนการในประเทศไทยคือ นายวรงค์ฤทธิ์ฯ หรือฤทธิ์ ซึ่งเป็นระดับหัวหน้าทำหน้าที่หาคน หาเครื่องรูดบัตร บ้างนำมาจากบริษัทที่จดทะเบียนขึ้นมาลอยๆ หรือนำมาจากห้างร้านทองหลายๆแห่ง เพื่อนำมารวมกันไว้ใน “เซฟเฮ้าส์” ห้องลับเพื่อใช้คอยรูดบัตรให้กับขบวนการนี้โดยเฉพาะ และยังสืบทราบว่า นายวรงค์ฤทธิ์ฯ เป็นบุคคลตามหมายจับในข้อหาพยายามส่งออกยาเสพติดไปยังประเทศเกาหลีใต้ แต่จากการสืบสวนแกะรอยหัวหน้าขบวนการรายนี้นับว่าเป็น “งานหิน” 

ด้วยความเขี้ยวของหัวหน้าขบวนการรายนี้ที่จะตัดตอนมิให้พยานหลักฐานเชื่อมโยงมาถึงตัว และไปมาอย่างไร้ร่องรอยมาเป็นเวลากว่า 4 ปี ไร้ที่อยู่เป็นหลักแหล่ง คอยตระเวนเปิดโรงแรมนอนและย้ายไปเรื่อยๆในพื้นที่ กรุงเทพฯ     หลังจากแกะรอยกว่า 1 สัปดาห์จนได้เบาะแสว่าคนร้านรายนี้ได้ปรากฏตัวที่ละแวก ซ.เสือใหญ่ จึงนำกำลังติดตามไปจนพบ “เซฟเฮ้าส์” ที่ใช้เก็บอุปกรณ์เครื่องรูดบัตรไว้ 

จนกระทั่งพล.ต.ต.ธีรเดชฯ นำกำลังเจ้าหน้าที่ชุด สืบนครบาล และ PCT5 บุกเข้าไปตรวจสอบห้องพักหมายเลข 704 ของโรงแรมชื่อดังแห่งหนึ่งย่าน ซ.เสือใหญ่ แต่ด้วยเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวของเจ้าพ่อรายนี้ มุดเข้าไปแอบภายในห้องน้ำและพยายามถ่วงเวลาเพื่อลบข้อมูลในโทรศัพท์ของตัวเอง ชุดสืบสวนไม่รอช้าพังประตูเข้าไปรวบตัวในห้องน้ำได้ทันควัน และจับกุมหญิงสาวผู้ร่วมขบวนการอีก 2 รายในห้อง ตรวจยึดของกลางยาเสพติดและอุปกรณ์ใช้รูดบัตรเครดิตได้หลายรายการ 

ภายหลังการจับกุม ได้มีการขยายผลจนพบหลักฐานว่าขบวนการนี้ไม่เพียงแต่เป็น “แก๊งขโมยรูดบัตรเครดิต” หากพบหลักฐานเตรียมฉ้อโกงธนาคารด้วยการวางแผนอย่างเป็นระบบ หาคนโปรโฟล์ดี มีคุณสมบัติไม่ติด เครติดบูโร และต้องพร้อมโดนฟ้องล้มละลาย โดยจะนำมาตกแต่งบัญชีให้สวยหรู เพื่อตบตาธนาคารให้ยอมปล่อยกู้ แต่หลังจากธนาคารปล่อยกู้แล้ว แก๊งตัวแสบ จะใช้วิธี “ ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย” สร้างความเสียหายเป็นเงินจำนวนมาก มิหนำซ้ำ และยังเป็นขบวนการ “สวมตัวตน” ให้กับชาวต่างชาติ โดยทั้งหมดเชื่อมโยงกับ อาเหว่ย “บอสคอลเซ็นเตอร์ชาวจีน”
             
ในชั้นจับกุม นายวรงค์ฤทธิ์ฯ ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา โดยให้การว่า “ก่อนเกิดเหตุ ตนเองประกอบอาชีพธุรกิจส่วนตัว เปิดโรงแรม HOSTEL ย่านราชเทวี และเป็นนายหน้าขายที่ดินในพื้นที่กรุงเทพและต่างจังหวัด และ เป็นนายหน้าขายรถยนต์มือสองในพื้นที่ กทม. ก่อนจะประสบวิกฤติการณ์การแพร่ระบาดของโควิด เป็นเหตุให้ธุรกิจเจ๊งและปิดตัวลง 

จนกระทั่งช่วงปลายเดือน พ.ย.66 ที่ผ่านมา ได้มีโอกาสรู้จักกับ “อาเหว่ย” สัญชาติจีน บอสใหญ่คอลเซ็นเตอร์ โดยอาเหว่ยให้ตนเป็นคนประสาน ติดต่อ และจัดหาเครื่องรูดบัตรเครดิตจากร้านค้าทั่วไปให้แก่อาเหว่ย ซึ่งมีเพื่อนซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวชาวจีน ที่เดินทางมาเที่ยวในไทย อยากจะเปลี่ยนวงเงินในบัตรเครดิตที่ถืออยู่ให้เป็นเงินสด โดยผ่านจากเครื่องรูดบัตร เพื่อใช้สอยในระหว่างที่เดินทางมาเที่ยวในประเทศไทย 

โดยอาเหว่ยตกลงจะให้ค่าตอบแทนร้อยละ 25-30 ของจำนวนเงินที่สามารถกดได้จากบัตร ตนจึงไปติดต่อพรรคพวกที่รู้จัก ซึ่งเป็นโรงแรม ร้านค้า ร้านประกอบการค้า ที่สามารถนำเครื่องรูดบัตรมาให้ได้ อาทิ และธุรกิจ ขอนำเครื่องรูดบัตรเครดิต มารูดเป็นสินค้าและบริหารของทางร้านภายในวงเงินที่รูดได้ จากนั้นจึงจะทำการเจรจาและตกลงกับทาง เจ้าของร้านค้าและบริการ ดำเนินการคิดและหักค่าดำเนินการในการอนุญาตนำเครื่องรูดบัตรออกมาใช้โดยผิดรูปแบบและวัตถุประสงค์เป็นร้อยละ 25-30 

โดยที่ผู้ต้องหาจะได้รับค่าตอบแทนประมาณร้อยละ 5-10 ของวงเงินที่สามารถรูดบัตรได้ จนกระทั่งพรรคหลังเริ่มทราบว่าแท้จริงเป็นขบวนการที่นำบัตรเครดิตมาจากการขโมย โดยรวมทั้งหมดแล้วไม่น้อยกว่า 20 ครั้ง คิดเป็นมูลค่าความเสียหายประมาณ 1,600,000 – 3,000,000 บาท”   หลังจับกุมตัว ได้นำตัว นายวรงค์ฤทธิ์ฯ พร้อมกับผู้ร่วมขบวนการอีก 2 คน พร้อมของกลางยาเสพติด นำส่งพนักงานสอบสวน สน.พหลโยธิน ส่วนของกลางจำพวกเครื่องรูดบัตร และอื่นๆ ได้นำส่งพนักงานสอบสวน สน.พระราชวัง เพื่อดำเนินคดีตามกฏหมายและขยายผลต่อไป