เร่งภาครัฐกวาดล้างขบวนการหมูเถื่อน “อิทธิพลระดับชาติ” อย่าปล่อยคนชั่วลอยนวล

เร่งภาครัฐกวาดล้างขบวนการหมูเถื่อน “อิทธิพลระดับชาติ” อย่าปล่อยคนชั่วลอยนวล





Image
ad1

ข่าวใหญ่กรณี ‘เสี่ยห้องเย็น ยิงหัวหน้าด่านกักกันสัตว์จังหวัดเพชรบูรณ์ดับ’ เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2566 หลังทีมของกรมปศุสัตว์ขอเข้าตรวจสอบเนื้อหมูต้องสงสัยข้ามเขตในห้องเย็น ดังกล่าว ถือว่าเป็นตรวจค้นสินค้าผิดกฎหมายอย่างถูกต้อง ตามนโยบายปราบปราม “หมูเถื่อน” ซึ่งเป็นหนึ่งในเป้าหมายของรัฐบาลชุดนี้ที่ต้องการล้างบางและขยายผลกวาดล้าง “อำนาจมืด” เพราะหมูเถื่อนเหล่านี้สร้างสร้างปัญหาให้กับผู้เลี้ยงหมูไทยตลอด 1 ปีที่ผ่านมา จนถึงปัจจุบันสร้างความการสูญเสียทางเศรษฐกิจ มากกว่า 70,000 ล้านบาทต่อปี

คดีอุกฉกรรจ์เช่นนี้ จุดชนวนให้นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เรียกประชุมด่วนหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง เช่น ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ อธิบดีกรมปศุสัตว์ อธิบดีกรมศุลกากร และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มาร่วมหาแนวทางการแก้ไขปัญหาการลักลอบการนำเข้าเนื้อสัตว์ โดยสั่งการให้มีมาตรการควบคุมอย่างเคร่งครัดตามด่านศุลกากร และเร่งให้ทาง DSI เร่งดำเนินการในคดี และต้องดำเนินการอย่างเด็ดขาดกับการลักลอบนำเข้า "หมูเถื่อน" ที่ทำงานกันเป็นขบวนการ โดยมี อิทธิพลระดับชาติ หนุนหลัง

ด้านร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า ประกาศซ้ำกวาดล้างผู้นำเข้าสินค้าเกษตร ผิดกฏหมายทั่วประเทศอย่างจริงจัง ภายในวันที่ 20 ตุ ลาคมนี้ พร้อมย้ำว่าเจ้าหน้าที่ของกระทรวงฯ ต้องไม่เสียชีวิตฟรี จากเดิมที่เคยประกาศไว้ก่อนหน้านี้ ว่า การปราบปรามการลักลอบนำเข้าเนื้อสัตว์เป็นวาระเร่งด่วนของกระทรวง และจะไม่ ไว้หน้าใครทั้งสิ้น ขณะที่นายไชยา พรหมา รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงฯ ยืนยัน ว่า กระทรวงฯ ได้ประกาศทำสงครามกับสินค้าเกษตรและเนื้อสัตว์ผิดกฎหมายทุกรูปแบบ ซึ่งกรมปศุสัตว์ดำเนินการ 'เอ็กซเรย์' ห้องเย็นทั่วประเทศอย่างเข้มงวดมาโดยตลอด แต่การกวาดล้างทั้งหมูเถื่อนและเนื้อสัตว์เถื่อน กระทรวงฯ ไม่สามารถทำงานนี้ได้ตามลำพัง จำเป็นต้องทำงานแบบบูรณาการร่วมกับหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ทั้งกรมศุลกากร, DSI, ตำรวจและหน่วยงานความมั่นคง จากกรณี ยิงหัวหน้าด่านกักกันสัตว์นี้ ได้รับรายงานว่าเกี่ยวข้องกับอิทธิพลท้องถิ่นเพราะห้องเย็นดังกล่าวยังไม่ได้ขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้อง

ที่ผ่านมาหมูเถื่อน เป็นแหล่งรายได้สำคัญ ทำกำไรเป็นกอบเป็นกำของ “อิทธิพลระดับชาติ” โดยประเมินจากราคาหมูมีชีวิตหน้าฟาร์ม ในปี 2565 หลังไทยประกาศพบโรคระบาด ASF พุ่งเกินกว่า 100 บาทต่อกิโลกรัม ส่งผลให้หมูเนื้อแดงขยับตามขึ้นไป ที่ 200 บาทต่อกิโลกรัม เป็นแรงจูงใจให้กลุ่มอิทธิพลฯ เห็นช่องทางทำมาหากินลักลอบนำเข้าชิ้นสวนสุกรแช่แข็งราคาถูก 35-45 บาทต่อกิโลกรัม จาก บราซิล อาร์เจนตินา เยอรมันนี เข้ามาในไทย โดยวางแผนสำแดงเท็จเป็นอาหารทะเลแช่แข็งและโพลิเมอร์ ทำเอกสารปลอมเพื่อเปิดทางให้ของผิดกฎหมายไม่ต้องผ่านการตรวจสอบ เมื่อมาถึงไทยราคาจะตกประมาณ 60-70 บาทต่อกิโลกรัม เทียบกับราคาตลาดขณะนั้ น ที่ 200 บาท ขายตัดราคายังกำไรมหาศาล นั่นยิ่งทำให้ “ขบวนการหมูเถื่อน” หึกเหิม

วันนี้ผลผลิตหมูไทยออกสู่ตลาดตามรอบการเลี้ยง แต่ผู้เลี้ยงหมูต้องจำใจขายในราคาขาดทุน เทียบต้นทุนการผลิตเฉลี่ย ปัจจุบัน ที่ 80-85 บาทต่อกิโลกรัม แต่กลับขายได้เพียง 60-66 บาท ซ้ำร้ายกว่านั้นทางภาคใต้ขายได้ราคาต่ำสุด เพียง 50-57 บาทต่อกิโลกรัมเท่านั้นขาดทุนเฉลี่ยตัวละประมาณ 3,000 บาท ส่วนหนึ่งเพราะหมูเถื่อนเร่งระบายสต๊อกทั่วประเทศตัดราคาอีกครั้ง เพื่อหลบหนีการจับกุมทำให้เกษตรกรต้องขาดทุนต่อเนื่องนานมากกว่า 6 เดือน

สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ ในฐานะตัวแทนผู้เลี้ยงหมูทั่วประเทศ เรียกร้องมาโดยตลอด ให้มีการปราบปรามหมูเถื่อนมาอย่างต่อเนื่อง โดยระบุว่าในปี 2565 ช่องทางหลักที่หมูเถื่อนทะลักเข้ามาไทยคือ ท่าเรือแหลมฉบัง จ.ชลบุรี และมีการนำเข้าไม่ต่ำกว่า 1,000 ตู้ต่อเดือน ตู้ละ 25 ตัน ผลกระทบสำคัญคือบิดเบือนกลไกราคาหมูไทย แทรกแซงตลาดกดราคาให้ตกต่ำ ถึงวันนี้ความจริงปรากฎให้เห็นชัดเจน เมื่อ DSI พบตู้หมูเถื่อนตกค้าง 161 ตู้ ที่ท่าเรือแหลมฉบัง และนี่เป็นเพียงส่วนเดียวที่ตรวจพบและเชื่อว่าหมูเถื่อนจำนวนมากเล็ดลอดออกไปจำหน่ายสร้างความเสียหายกับผู้เลี้ยงหมูไทยทั่วประเทศแน่นอน

นอกจากนี้ จากหลักฐานและการสอบปากคำเจ้าหน้าที่กรมศุลกากรและสายเรือของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) พบว่าการลักลอบนำเข้าหมูเถื่อนมาในราชอาณาจักรไทย อาจเกี่ยวข้องกับการละเลยการปฎิบัติหน้าที่ของข้าราชการ ทำให้เกิดการสำแดงเท็จสินค้าอื่นๆ และปลอมแปลงเอกสารเพื่อเปิดทางให้ “หมูเถื่อน” เล็ดลอดออกจากท่าเรือแหลมฉบังในช่วงปี 2565-2566 นับล้านกิโลกรัม สร้างความเสียหายให้กับเศรษฐกิจประเทศและอุตสาหกรรมการเลี้ยงหมูของไทยหลายหมื่นล้านบาท และมูลค่าความเสียหายยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยเสียหายยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หากหมูเถื่อนยังลอยนวล

การตัดตอนขบวนการหมูเถื่อนให้สิ้นซากโดยเร็วถือเป็นวาระเร่งด่วนขณะนี้ โดยเฉพาะกรมศุลกากร ต้องเข้มงวดตรวจสอบสินค้านำเข้า ใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยของเครื่องเอ็กซเรย์ ที่สามารถแสดงให้เห็นได้แม้แต่ขนหมู ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดตรวจสอบสินค้าทุกตู้ 100% ขณะที่กรมปศุสัตว์และกรมการค้าภายใน ควรเดินหน้าตรวจค้นห้องเย็นทั่วประเทศ เพื่อทลายแหล่งซุกซ่อนหมูเถื่อน ถ้าปิดประตู “หมูเถื่อน” ได้ตั้งแต่ต้นทางการนำเข้า ก็ไม่มีภาคส่วนใดต้องรับเคราะห์หรือสูญเสีย โดยเฉพาะผู้เลี้ยงสุกรไทยจะได้ลืมตาอ้าปากรักษาอาชีพเดียวที่มีไว้ ผลิตหมูคุณภาพดีปลอดจากโรคต่างๆ สร้างความมั่นคงด้านอาหารสำหรับคนไทยอย่างยั่งยืน.

โดย...พบพระ เกศสุข ที่ปรึกษาอิสระด้านปศุสัตว์