"จตุพร"ชี้ศึกแย่ง ผบ.ตร.เชื่อเป็นหนังม้วนยาว มีภาคต่อเอาคืนแน่
นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์ว่า ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลโดยทุบกระปุกออมสินกู้เงินออมของเด็ก 5.6 แสนล้านบาททำโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ซึ่งเป็นแนวทางที่เหี้ยมกับการหาเงินไปเข้ากระเป๋ากลุ่มทุนให้ร่ำรวยยิ่งขึ้นไปอีก
นายจตุพร กล่าวถึง น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล บอกว่า รัฐบาลเพื่อไทยจะกู้เงินจากธนาคารออมสินว่า เป็นการแสดงถึงเอาเงินเด็กเก็บออมไว้มาแจก ซึ่งจะไปเข้ากระเป๋ากลุ่มทุนรายใหญ่ในกระบวนการสุดท้ายอยู่ดี อย่างไรก็ตาม ยังไม่รู้ว่ารัฐบาลจะตัดสินใจเช่นนี้หรือไม่ กับการกล้าเอาเงินเด็กไปช่วยบรรดาเจ้าสัวคนรวยได้ขายสินค้า ดังนั้น รัฐบาลต้องคิดให้หนัก
“สิ่งที่คุณศิริกัญญาออกมาพูดว่ารัฐบาลจะกู้เงินออมสินนั้น ผมยังไม่รู้ว่ารัฐบาลจะตัดสินใจอย่างนั้น เพราะยังไม่ได้ยินมา แต่คิดว่า รัฐบาลไม่ควรทำอย่างยิ่ง ไม่ควรไปทุบกระปุกออมสินของเด็กมาแจกจ่ายให้นายทุนร่ำรวยอีก เพราะธนาคารออมสินเป็นธนาคารแห่งเดียวที่มีความมั่นคงและมีเงินออมมากที่สุดในบรรดาธนาคารในประเทศขณะนี้”
พร้อมเชื่อว่า เงินดิจิทัล 5.6 แสนล้านนั้น ไม่ได้กระตุ้นเศรษฐกิจชาวบ้าน แต่เป็นการกระตุ้นการผลิตของบรรดาเจ้าสัว หากให้ชุมชนผลิตสินค้าเพื่อซื้อขายกันเองจะเกิดประโยชน์กว่า โดยเงินก้อนแรกที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจนั้น ต้องให้ประชาชนหรือชุมชนที่ยากลำบากได้ประโยชน์ก่อน
“กู้เงินเด็กมาแจกมันเหี้ยมไป และรู้เลยว่า ใครได้ประโยชน์และเสียประโยชน์ โดยกลุ่มทุนใหญ่เท่านั้นที่ได้ประโยชน์อยู่ดี ไม่มีปลายทางให้ประชาชนได้ประโยชน์เลย สุดท้ายคนไทยต้องเป็นหนี้ธนาคารออมสิน ดังนั้น จึงไม่เห็นด้วยที่รัฐบาลจะเอาเงินเด็กเก็บออมไว้ที่ธนาคารออมสินออกมาแจกจ่าย เท่ากับเป็นการเอาเงินเด็กมาช่วยเติมชีวิตกลุ่มทุนให้ร่ำรวยขึ้นไปอีก”
นายจตุพร กล่าวถึงตำรวจบุกค้นบ้านพัก พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล หรือบิ๊กโจ๊ก รอง ผบ.ตร.ฝ่ายสืบสวนสอบสวนว่า การแต่งตั้ง ผบ.ตร.คนใหม่ในวงการสีกากีจะยุติในวันที่ 27 ก.ย. นี้ แต่ว่าที่ รอง ผบ.ตร.ทั้ง 4 คนที่มีโอกาสได้รับการแต่งตั้ง เริ่มวิ่งฝุ่นตลบกันอยู่ ทั้งที่คงรู้คำตอบแล้วว่าใครได้เป็น จึงเกิดปฏิบัติการบุกค้นบ้านช่วงเช้าตรูเมื่อวันที่ 25 ก.ย.นี้
อีกทั้งระบุว่า เมื่อเกิดการบุกค้นบ้านบิ๊กโจ๊กชนิดตั้งตัวไม่ติด จึงไม่เข้าใจสถานการณ์การแย่งชิง ผบ.ตร.คนใหม่จะลามกันไปถึงไหน และขยายปฎิบัติการเอาคืนอย่างไร ดังนั้น งานนี้คงไม่จบง่ายๆ อาจลากไปถึงขั้นเอาคืนกันอีก
“ในวงการตำรวจ มีความสลับซับซ้อน การตั้ง ผบ.ตร คนใหม่ จะไม่ได้ผูกพันกันแค่ปีเดียว แต่นานอีกหลายปี จึงเกิดปฎิบัติการบุกค้นบ้านกันขึ้น ดังนั้น การปฎิรูปตำรวจที่เรียกร้องกันมาหลายปี ควรเริ่มกันได้แล้ว โดยตำรวจเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการยุติธรรม จึงต้องจัดระบบกันใหม่ เพื่ออำนวยความยุติธรรมให้ประชาชนได้”
ส่วนการแก้ รธน. 2560 นั้น นายจตุพร กล่าวว่า สามารถแก้ได้เฉพาะการเลือกตั้งเท่านั้น เรื่องที่เป็นประโยชน์กับประชาชนแก้ได้ยากมาก แต่มีกำหนดแนวทางจะเอา รธน. 2540 มาเป็นตัวตั้งให้เกิดการแก้ไข อย่างไรก็ตาม การแก้ รธน.ครั้งนี้คงนำร่องไปสู่เป้าหมายการเลือกตั้งจะชนะพรรคก้าวไกลได้อย่างไร โดยมีผู้รู้หลายคนบอกว่า มีวิธีเดียวคือ ต้องยกเลิก สส.บัญชีรายชื่อ 100 คน หากไม่ทำแล้วคงไม่มีหนทางอื่นที่เพื่อไทยจะสู้ได้เลย
“ถ้าเลือกภายใต้กติกาเดิมตาม รธน. 2560 ทุกพรรคย่อมรู้ดีว่า แพ้ก้าวไกล 100% ดังนั้น การแก้ครั้งนี้จึงสังหรณ์ใจจะล้ม สส.บัญชีรายชื่อ แล้วเปลี่ยนมาเป็นเลือก สส. 500 เขตเลย เพราะการเลือกตั้งผ่านมา เพื่อไทยได้ สส.เขตเท่าก้าวไกล จึงเชื่อว่า ล้ม สส.บัญชีรายชื่อแล้วจะมีโอกาสชนะ”
นายจตุพร เห็นว่า ไม่ควรเสียเวลาในการตั้งคณะมาศึกษาการแก้ รธน. อีก เพราะมีการศึกษาจะแก้อะไร อย่างไรมาดีแล้วเมื่อสมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยทุกพรรคก็เห็นตรงกันในการแก้ไข ดังนั้น หากนำมาใช้ในการแก้ รธน.ครั้งนี้คงไม่เสียเวลานาน