ทลายแก๊ง Romance Scam ชาวไนจีเรีย ลวงให้รัก 4 ปีเชิดเงินกว่า 800 ล้านบาท

ทลายแก๊ง Romance Scam ชาวไนจีเรีย ลวงให้รัก 4 ปีเชิดเงินกว่า 800 ล้านบาท





ad1

กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) และเจ้าหน้าที่ชุดจับกุม ร่วมกันจับกุม ผู้ต้องหา จำนวน 14 ราย
1.น.ส.ปุณยวีร์ฯ อายุ 47 ปี ตามหมายจับศาลอาญาที่ 2644/2566 ลงวันที่ 22 ส.ค.2566
2.Mr.Ezeneche (สัญชาติไนจีเรีย) อายุ 45 ปี ตามหมายจับศาลอาญาที่ 2645/2566 ลงวันที่ 22 ส.ค.2566
3.น.ส.วาสนาฯ อายุ 30 ปี ตามหมายจับศาลอาญาที่  2646/2566 ลงวันที่ 22 ส.ค.2566
4.น.ส.ธัญญรัศม์ฯ อายุ 39 ปี ตามหมายจับศาลอาญาที่  2647/2566 ลงวันที่ 22 ส.ค.2566
เพื่อดำเนินคดีในข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น, โดยทุจริตหลอกลวงร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน, ร่วมกันใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ที่ผู้ออกได้ออกให้แก่ผู้มีสิทธิใช้ เพื่อประโยขน์ในการชำระค่าสินค้าบริการ หรือหนี้อื่นแทนการชำระด้วยเงินสดหรือใช้เบิกถอนเงินสด โดยมิชอบ ในประการที่น่าจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน, ร่วมกันฟอกเงินและสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน”

 5.นายอนุวัฒน์ฯ อายุ 18 ปี ตามหมายจับศาลอาญาที่ 2650/2566 ลงวันที่ 22 ส.ค.2566
6.นายพนิชศักดิ์ฯ อายุ 19 ปี ตามหมายจับศาลอาญาที่ 2651/2566 ลงวันที่ 22 ส.ค.2566
7.นายมนตรีฯ อายุ 23 ปี ตามหมายจับศาลอาญาที่ 2652/2566 ลงวันที่ 22 ส.ค.2566
8.นายเอนกฯ อายุ 41 ปี ตามหมายจับศาลอาญาที่ 2654/2566 ลงวันที่ 22 ส.ค.2566
9.นายณัฐพลฯ อายุ 36 ปี ตามหมายจับศาลอาญาที่ 2656/2566 ลงวันที่ 22 ส.ค.2566
10.นายณัฐินันท์ฯ อายุ 21 ปี ตามหมายจับศาลอาญาที่ 2658/2566 ลงวันที่ 22 ส.ค.2566
11.นายพิษณุฯ อายุ 34 ปี ตามหมายจับศาลอาญาที่ 2663/2566 ลงวันที่ 22 ส.ค.2566
12.น.ส.อุษาฯ อายุ 35 ปี ตามหมายจับศาลอาญาที่ 2657/2566 ลงวันที่ 22 ส.ค.2566
13.นายปุณณวิชฯ อายุ 27 ปี ตามหมายจับศาลอาญาที่ 2659/2566 ลงวันที่ 22 ส.ค.2566
14.นายณพลฯ อายุ 26 ปี ตามหมายจับศาลอาญาที่ 2662/2566 ลงวันที่ 22 ส.ค.2566

เพื่อดำเนินคดีในข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น, โดยทุจริตหลอกลวงร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน”

พร้อมของกลาง 
1.โทรศัพท์มือถือ จำนวน 21 เครื่อง (ใช้กระทำความผิด 1 เครื่อง)
2.สมุดบัญชีธนาคาร จำนวน 20 เล่ม
3.บัตรเอทีเอ็ม จำนวน 18 ใบ (ใช้กระทำความผิด 1 ใบ)
4.สมุดกองทุนรวมธนาคาร 1 เล่ม
5.คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก 1 เครื่อง
6.คอมพิวเตอร์ PC จำนวน 1 เครื่อง
7.เอกสารโอนเงินไปต่างประเทศ ธ.ค.64 - มี.ค.65 จำนวน 5 ชุด
8.ซิมการ์ดโทรศัพท์ 1 อัน
9.เมมโมรี่กล้อง 3 ตัว
10.กระเป๋าแบรนด์เนมยี่ห้อ Chanel จำนวน 2 ใบ
 
สถานที่จับกุม หลังเปิดปฏิบัติการทลายเครือข่ายนี้ เจ้าหน้าที่ได้เข้าตรวจค้นทั้งหมด 14 จุด ทั่วประเทศ แบ่งเป็นในพื้นที่กรุงเทพมหานคร 7 จุด, ปทุมธานี 1 จุด, พิษณุโลก 2 จุด, อุทัยธานี 1 จุด, อุตรดิตถ์ 1 จุด, กำแพงเพชร 1 จุด, พิจิตร 1 จุด เมื่อวันที่ 24 ส.ค.66

พฤติการณ์ สืบเนื่องจากประมาณเดือนธันวาคม 2564 – มกราคม 2565 ผู้เสียหายได้ร้องเรียนมายังเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.1 บก.ป. ให้ช่วยติดตามจับกุมคนร้าย ที่มีพฤติการณ์หลอกให้หลงรัก โดยใช้ภาพโปรไฟล์เป็นหญิงต่างชาติรูปร่างหน้าตาดี แอบอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ทหารสาวชาวอเมริกัน ที่ปฏิบัติภารกิจอยู่ในประเทศซีเรีย นอกจากนี้ยังสร้างเรื่องราวว่าจะเดินทางมาประเทศไทย เหตุเพราะประทับใจและตกหลุมรักในตัวผู้เสียหายมาก และต้องการจะส่งพัสดุ ภายในเป็นทรัพย์สินมีค่า มาให้กับผู้เสียหาย แต่มีข้อแม้ คือขอให้ผู้เสียหายช่วยชำระค่าภาษีนำของออกจากสนามบินให้ก่อน หลังจะคืนเงินให้ในภายหลัง เมื่อผู้เสียหายตกหลุมพรางเชื่อใจเนื่องด้วยความรัก ประกอบกับความสงสาร เป็นเหตุให้ผู้เสียหายหลงเชื่อโอนเงินไปให้ ขณะเดียวกันจะมีคนร้ายอีกคนโทรศัพท์มาหาผู้เสียหาย อ้างตัวว่าเป็นเจ้าหน้าที่สนามบินก่อนจะหลอกให้ผู้เสียหายโอนเงินเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยอ้างว่าเหตุผลต่างๆ เช่น เป็นค่าดำเนินการเพื่ออำนวยความสะดวกของเจ้าหน้าที่ของรัฐในประเทศไทยเนื่องจากเป็นการนำเข้าเงินโดยผิดกฎหมาย, ค่าประกันที่ทำสัญญาไว้กับบริษัท, ค่าทนายความ ค่าประกันทรัพย์สิน จนสุดท้ายผู้เสียหายไม่มีเงินจ่าย ก่อนที่คนร้ายก็จะตัดการติดต่อไป พบผู้เสียหายสูญเงินไปล้านกว่าบาท

ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจ จึงได้สืบสวนเส้นทางการเงิน จนพบว่าเงินที่ถูกโอนเข้าบัญชีคนร้ายได้มีการโอนต่อไปอีกหลายบัญชี ก่อนจะถูกโอนไปยังบัญชีชื่อของ น.ส.ปุณยวีร์ฯ (ผู้ต้องหาที่ 1) จากนั้นถูกโอนต่อไปยังบัญชีธนาคารในต่างประเทศ

จากการขยายผลพบอีกว่าตั้งแต่ปี 2561 – 2564 มีเงินหมุนเวียนออกไปยังบัญชีในต่างประเทศรวมกว่า 800 ล้านบาท ซึ่งพยานหลักฐานทำให้ทราบว่า น.ส.ปุณยวีร์ฯ (ผู้ต้องหาที่ 1) มีความเกี่ยวข้องกับกลุ่มชาวต่างชาติสัญชาติไนจีเรีย และยังพบว่ามีเงินโอนมาจากบัญชีของ Mr.Ezeneche (ผู้ต้องหาที่ 2) อีกจำนวนหลายสิบล้านบาท ซึ่งเงินเหล่านั้นได้มาจากการหลอกลวงผู้เสียหายรายอื่นๆในลักษณะเดียวกัน เมื่อพบเส้นทางการเงินว่าเชื่อมโยงกันทั้งหมด ทางผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติจึงมีคำสั่งให้โอนย้ายคดีของผู้เสียหายที่ตกเป็นเหยื่อของแก๊งนี้ทุกรายมายังกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) เพื่อดำเนินคดีกับผู้ต้องหากลุ่มนี้ทันที

ล่าสุด (เมื่อวันที่ 24 ส.ค. 66) เจ้าหน้าที่ตำรวจกก.1 และกก.4 บก.ป. จึงร่วมกันเปิดปฏิบัติการทลายเครือข่ายแก๊งโรแมนซ์กลุ่มนี้ โดยเข้าตรวจค้นจับกุมผู้ต้องหาจำนวน 14 จุด สามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาได้รวม 14 ราย

สอบถาม น.ส.วาสนาฯ (ผู้ต้องหาที่ 3) หนึ่งในผู้ต้องหาซึ่งทำหน้าที่ปลอมเป็นเจ้าหน้าที่สนามบินโทรศัพท์หลอกลวงผู้เสียหาย ให้การรับว่า ขณะนั้นถูกว่าจ้างมาจากแฟนหนุ่มชาวไนจีเรีย ซึ่งเจอกันที่สถานบันเทิงแห่งหนึ่ง แต่ปัจจุบันไม่ได้คบหากันแล้ว โดยได้รับส่วนแบ่งเป็นเปอร์เซ็นจากการหลอกลวงดังกล่าว อ้างสาเหตุที่ต้องทำ เพราะช่วงนั้นตนเองไม่มีงานทำ ขณะเดียวกัน จากการตรวจสอบประวัติของ Mr.Ezeneche (ผู้ต้องหาที่ 2 ) พบว่าตั้งแต่ปี 2561 เคยถูกดำเนินคดีในความผิดฐานดังกล่าวมาแล้วหลายครั้ง แต่ก็ยังไม่เข็ดหลาบ ยังคงกลับมาก่อเหตุซ้ำซากหลายครั้ง