เปิดชะตากรรม5ชีวิตหนีตายลูกชายเมายาคลั่งเผาบ้านวอด-ขู่ฆ่ายกครอบครัวต้องระหกระเหินปลูกเพิงพักริมทาง (มีคลิป)

เปิดชะตากรรม5ชีวิตหนีตายลูกชายเมายาคลั่งเผาบ้านวอด-ขู่ฆ่ายกครอบครัวต้องระหกระเหินปลูกเพิงพักริมทาง (มีคลิป)





ad1

ชัยภูมิ – เปิดชะตากรรมชีวิตผู้หญิงเด็กคนชราทั้ง 5ชีวิต บริเวณริมทางถนนสายชัยภูมิ – สีคิ้ว รอยต่อเขต อำเภอเมืองและอำเภอจัตุรัส จังหวัดชัยภูมิ  พื้นที่บ้านโคกแพงพวย ตำบลละหาน อำเภอจัตุรัส 


ผู้สื่อข่าวได้รับทราบเรื่องราวชีวิตชะตากรรมครอบครัวรายหนึ่งจึงได้ขอติดตามเพื่อของลงพื้นที่ดูความลำบากยากเข็ญ ในการใช้ชีวิต ประจำวัน ออกมาสะท้อนปัญหาสังคมครอบครัวที่เกี่ยวพันกับยาเสพติดทั้งอดีตและปัจจุบันกับ หญิงเพศแม่ทั้ง 5ราย โดยมีหญิงชราสูงวัยอายุ 86ปี และหนูน้อยว่าเด็ก 3 ขวบรวม 5 ชีวิต ที่มาหอบผ้าผ่อนไปหลบแอบมานอนอยู่ข้างถนน กับคนรู้จักและเป็ดไล่ทุ่งอีก 1 ฝูง บนที่นาใครก็ไม่ทราบโดยไร้อาหารน้ำดื่มสะอาด -สิ่งอุปโภค-อำนวนความสะดวก ขั้นพื้นฐานทามกลางความหนาวเน็บและพความชอกช้ำใจตลอดหลายคืนที่ผ่านมา.

บื้องต้นจากการเข้าพูดคุยสอบถาม ชีวิตรันทด ผ่านการหนีตายมาอยู่ที่นี่ผู้สื่อข่าวโดยได้มีโอกาสเข้าไปพูดคุยกับหญิง 5 ชีวิตที่อาศัยอยู่บนผืนนาของชาวบ้าน พร้อมเป็ดไล่ทุ่งอีก 1 ฝูง และการใช้ชีวิตแบบรันทด โดยมีนางนาฏ  โชคศิริ อายุ 58ปี เป็นผู้เปิดเผยข้อมูลกับให้ผู้สื่อข่าวฟังว่า ตนเองและสมาชิกในครอบครัว โดยมีแม่ที่อายุ 86 ปี และหลานอีก 3 คน  ต้องระหกระเหินเร่ร่อนมาอาศัยอยู่บนพื้นที่ดินซึ่งปัจจุบันนี้ก็ยังไม่ทราบว่าเป็นที่ดินของใคร พร้อมเป็ดอีก 1 ฝูง ที่พอประทังชีวิตในการนำไข่ไปขาย เป็นรายได้เลี้ยงสมาชิกในครอบครัว นางนาฏ โชคสิริ เล่าให้ผู้สื่อข่าวฟังว่า ก่อนหน้านี้ ตนและสมาชิกในครอบครัวที่เห็น ผ่านเผชิญความหนีตายมาจากการกระทำของลูกชายที่ติดยา

โดยเดิมที ก่อนหน้านี้มีภูมิลำเนาเป็นคนตำบลหนองนาแซง อำเภอเมืองจังหวัดชัยภูมิ แต่หลังจากที่ลูกชายคนโต เริ่มมีอาการคุ้มคลั่งจากการเสพยา ความสุขในครอบครัวก็เริ่มหายไปจนกระทั่งเมื่อช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา ลูกชายคนโตมีอาการเมายาคุ้มคลั่งขู่จะทำร้ายผู้คนในครอบครัวและขู่จะเผาบ้าน ตนเองและสมาชิกในครอบครัวจึงเกิดความผวา จึงรีบออกมาเพื่อที่จะขอความช่วยเหลือจากทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไประงับเหตุดังกล่าว  เวลาผ่านไปไม่นาน ย้อนกลับไปที่บ้านอีกครั้งพบว่าลูกชายคนโตได้ทำการเผาบ้าน กลายเป็นภาพที่สุดสลดให้กับทุกคนในครอบครัวต้องยืนดู บ้านที่เคยอยู่อาศัย ถูกเพลิงเผาวอดวายจากน้ำมือลูกชายที่ติดยา จนเหลือเพียงเถ้าถ่าน คว้ามาได้เพียงผ้าอ้อมของหลานคนเล็ก ที่อายุเพียง 3 ขวบเท่านั้น 

 เหตุการณ์ในวันนั้นสร้างความสลดเสียใจให้กับสมาชิกในครอบครัวเป็นอย่างมาก ด้วยความตอกย้ำคำพูดของลูกชายก่อนถูกดำเนินคดี หากพ้นโทษออกมาจะกลับมาฆ่าทุกคน นางนาฏ  โชคศิริ พร้อมสมาชิกทุกคนในครอบครัวต้องตกอยู่ในความผวาไม่กล้ากลับไปอาศัย อยู่ในพื้นที่ดินของตนเองอีกต่อไป  บวกกับกระแสสังคมที่ตอกย้ำครอบครัวของตนอีกว่า เป็นครอบครัวที่มีเชื้อโควิด – 19 อีกด้วย  จึงตัดสินใจระหกระเหินเร่ร่อนออกมา พร้อมต้นทุนชีวิตคือเป็ดไล่ทุ่ง 1 ฝูง ที่หาแหล่งทำมาหากินเลี้ยงเป็ดพอได้เก็บไข่ขายไปวันๆเท่านั้น

นางนาฏ โชคศิริ อายุ 58 ปี เปิดเผยให้ผู้สื่อข่าวฟังว่า ปัจจุบันนี้สมาชิกในครอบครัวเหลือเพียงแม่ที่อายุ 86 ปี และหลานคนโตอายุ 16 ปี ที่ไม่ได้รับการศึกษาแล้ว แต่เมื่อถามความรู้สึกลึกๆแล้วก็ยอมรับว่า อยากที่จะเรียนต่อแต่ด้วยสภาพชีวิตที่เปลี่ยนไปจึงไม่มีโอกาส  ส่วนหลานคนกลางอายุ 15 ปี ต้องย้ายที่เรียนไปอยู่บ้านญาติ เข้าเรียนชั้น ม. 3 ที่โรงเรียนแห่งหนึ่งในอำเภอหนองบัวระเหว  และหลานสาวคนเล็กสุด 3 ขวบ ยังอยู่ในการดูแลของตนเอง การใช้ชีวิตประจำวันเป็นไปด้วนความตากตำ และมีคำปลอบใจกันอยู่ทุกวันเพื่อให้เป็นการสร้างกำลังใจให้กันและกันในการดำรงชีวิต  การอยู่อาศัยบนพื้นที่ของใครก็ยังไม่ทราบ

จึงมีความจำเป็นที่ต้อง ฝืนทำทุกวิถีทางให้ชีวิตอยู่รอดไปวันๆเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นการหลับนอน การกินอยู่ ก็เป็นไปด้วยความยากลำบาก มีเพียงเต็นท์และผ้าใบกางกันลม ด้านน้ำอาหารก็ต้องไปขอจากวัดหรือตักใช้ในแหล่งน้ำซองดินคันนา ที่ยังพอมีน้ำขังหลังจากน้ำท่วมชัยภูมิที่ผ่านมา นำมาใช้อุปโภคบริโภคและใช้ในชีวิตประจำวันเท่านั้น นางนาฏ โชคสิริ ยอมรับว่ารู้สึกสงสารทุกคนในครอบครัว แต่ก็ไม่กล้าที่จะกลับไปใช้ชีวิต ในบ้านที่ตนเองเคยอยู่อาศัยกันอย่างมีความสุข เพราะทุกคนในครอบครัวตอนนี้ยังรู้สึกกลัวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ยอมที่จะใช้ชีวิตอย่างลำบากดีกว่ากลับไปผวากับเหตุการณ์ในวันวาน

จากภาพเหตุการณ์ที่พบในวันนี้ การใช้ชีวิตริมทางกับ 1 ครอบครัว หญิง 5 ชีวิตต้องสู้ทน คงจะต้องทนใช้ชีวิตอยู่เช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ การย้ายถิ่นฐานก็อาจจะเป็นไปตามการหาแหล่งเลี้ยงเป็ดไล่ทุ่งให้มีแหล่งอาหารการกินเพื่อที่จะนำไข่เป็ดเอาไปขายเป็นรายได้ประจำวัน โดยยอมรับว่าชีวิตหลังจากนี้ ก็ยังไม่รู้ว่าจะต้องระหกระเหินไปอย่างไร และยังไม่มีหน่วยงานใดเข้ามาดูแลช่วยเหลือ จึงต้องตัดสินใจสู้และทน กับชะตากรรมมรสุมชีวิตเช่นนี้ต่อไป 


มัฆวาน วรรณกุลผู้สื่อข่าวภูมิภาค