บุกจับผับลับกลางกรุง พบ “มั่วยา-ค้าประเวณี” รวบนักเที่ยวได้กว่า 500 ราย

บุกจับผับลับกลางกรุง “มั่วยา-ค้าประเวณี”

บุกจับผับลับกลางกรุง พบ “มั่วยา-ค้าประเวณี” รวบนักเที่ยวได้กว่า 500 ราย





ad1

เมื่อวันที่ 11 มิ.ย.65 เวลา 03:00 น. เจ้าหน้าที่กรมการปกครอง ร่วมกับตำรวจ สน.ปทุมวัน เข้าตรวจค้น “แวมไพร์ผับ” ย่านรองเมือง ซอย 5 เขตปทุมวัน หลังได้รับแจ้งว่า เปิดให้เด็กอายุต่ำกว่า 18 ปีเข้าใช้บริการ ตั้งแต่เวลา 23.00 น. – 04.00 น. ซึ่งเกินเวลาที่กฎหมายกำหนด และยังมีการลอบค้าประเวณี มีแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายสัญชาติลาวและเมียนมาทำงานอยู่ภายในสถานบริการ และอาจมีการมั่วสุมเสพยาเสพติด

เบื้องต้นพบว่า สถานบริการดังกล่าวมีทางเข้าลึกลับ ด้านหน้าไม่มีป้ายบอกชื่อ ส่วนทางเข้าเป็นอาคารพาณิชย์ปกติ ต้องผ่านประตูเหล็ก เมื่อเข้ามาแล้วจะมีประตูลับชั้นที่ 2 ก่อนเข้าสู่ตัวผับ 

จากการตรวจค้น พบนักท่องเที่ยวชายหญิงทั้งไทยและชาวต่างชาติกว่า 500 คน พบวัยรุ่นอายุต่ำกว่า 20 ปี เข้าใช้บริการอย่างน้อย 5 คน เจ้าหน้าจึงนำนักเที่ยวทั้งหมดไปตรวจปัสสาวะหาสารเสพติด พบปัสสาวะม่วงหลายราย โดยพบไอซ์และยาอี แบ่งอยู่ในถุงซิปขนาดเล็กจำนวนหนึ่ง ขณะที่ยาเสพติดบางส่วนถูกห่อซุกซ่อนในธนบัตร ตกอยู่ตามพื้น เจ้าหน้าที่จึงตรวจยึดไว้เป็นของกลาง

นายรณรงค์ ทิพย์ศิริ ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการบังคับใช้กฎหมายพนักงานฝ่ายปกครอง กรมการปกครอง เปิดเผยว่า สถานที่แห่งนี้เคยเป็นอู่ซ่อมรถ ถูกดัดแปลงเป็นผับให้บริการชาวต่างชาติ แต่ถูกสั่งปิดตามคำสั่ง คสช. เมื่อปี 2561 แต่กลับมาเปิดให้บริการอีกครั้งเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เจ้าของปัจจุบันที่เป็นชาวไทย อ้างว่าได้เซ้งกิจการมาจากเจ้าของเดิมโดยไม่มีใบอนุญาตประกอบสถานบริการ และยังอ้างว่า ไม่ทราบว่ามีคำสั่งปิด 5 ปี 

เจ้าหน้าที่ยังพบว่า ผับแห่งนี้มีรั้วติดกับสถานศึกษา ซึ่งตามกฎหมายแล้วจะต้องปิดถาวรไม่สามารถเปิดให้บริการได้อีก ซึ่งจากพฤติการณ์และแนวทางการสืบสวน เชื่อได้ว่าเจ้าของมีเจตนาอำพรางปกปิดทางเข้าสถานบริการชัดเจน และน่าจะรู้เห็นกับการจัดให้มีการมั่วสุมเสพสารเสพติด เนื่องจากเจ้าหน้าที่พบพิรุธ ในลักษณะจัดให้เสพยาเสพติดภายในห้องน้ำ โดยมีการ์ดคอยเฝ้าหน้าห้อง

เบื้องต้น ตำรวจเตรียมดำเนินคดีกับเจ้าของผับในหลายข้อหา ทั้งประกอบธุรกิจสถานบริการโดยไม่ได้รับอนุญาต , จำหน่ายสุราเกินเวลา และจำหน่ายให้กับเยาวชน ,จัดให้มีการมั่วสุมและเสพยาเสพติด และความผิดตามพ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก