(คืบหน้า)  -   หนุ่มหาปลาขอขมาเจ้าแม่ตะเคียน

หนุ่มหาปลา

 (คืบหน้า)  -   หนุ่มหาปลาขอขมาเจ้าแม่ตะเคียน





ad1

วันที่6ตค.64ข่าวคืบหน้าหนุ่มหาปลาเห็นหญิงแต่ชุดไทยสีเขียวนายอารีย์ ทำนพ อายุ 36ปี อยู่บ้านเลขที่ 69 ม.7ต.เขาไม่แก้ว อ.กบินทร์บุรีจ.ปราจีนบุรี มาหาปลาบริเวณสระน้ำข้างโรงเรียนร้าง ม.1ต.หนองกี่ อ.กบินทร์บุรีจ.ปราจีนบุรี เมื่อค่ำวันที่4ตค.ที่ผ่านมาค่ำวันนั้นขณะที่กำลังนั่งตอกหลักเพื่อที่จะตักตาข่ายใน

สระน้ำได้มองเห็นผู้หญิงใส่ชุดไทยสีเขียวยืนอยู่ริมสระน้ำจากนั้นตนมีอาการเบลอแล้วจำอะไรไม่ได้มองหารถที่จอดทิ้งไว้ไม่เจอและเดินออกมาถนนใหญ่ติดต่อทางบ้านมารับกลับบ้าน วันรุ่งขึ้นได้บอกพ่อแม่และภรรยาให้ไปตามหารถจักรยานยนต์ยี่ฮ้อฮอนด้าสีน้ำเงินหมายเลขทะเบียน1กฉ7959ปราจีนบุรี จอดทิ้งไว้ข้างสระน้ำแต่หาไม่เจอวานนี้พ่อกับแม่และภรรยาได้พากันออกมาตามหารถและพบรถคันดังกล่าวจอดไว้ที่ริมสระน้ำภรรยาได้ไปซื้อธูปเทียนมาจุดบอกเพื่อขอขมาเจ้าที่ 

วันนี้พ่อกับแม่ได้พานายอารีย์มาจุดธูปขอขมาที่ศาลเจ้าพ่อเสือที่มีแม่ตะเคียนที่มีคนนำต้นตะเคียนมาไว้บริเวณนี้3ต้นและรูปปั้นหญิงสาวใส่นำชุดไทยสีเขียวและสีอื่นๆไว้ที่นี่ นายอารีย์เห็นรูปปั้นที่ใส่ชุดไทยสีเขียวได้ชี้ให้ดูว่าจำได้ว่าผู้หญิงที่ใส่ชุดไทยมีรูปร่างและแต่งตัวแบบนี้ ซึ่งเป็นรูปปั้นหญิงสวมใส่ชุดไทยสีเขียวนายอารีย์จึงจุดธูปเทียนบอกกล่าวขอขมาว่าขอโทษหากล่วงเกินต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ขอให้ยกโทษให้เพราะไม่รู้จึงมาจุดธูปบอกนะขอขมากรรมพร้อมทั้งถวายพวงมาลัยสด หมากพลูแก่รูปปั้นเจ้าแม่ตะเคียนที่เห็นขอให้หายเป็นปกติ นายอารีย์บอกว่าทำวันนั้นขณะกลับมาถึงห้องพักตนเองอาบน้ำแล้วบอกภรรยาให้หาแป้งหาผ้ามานุ่งกระโจมอกให้กับตนและทาแป้งหน้าขาวถามภรรยาว่า"กูสวยมั้ยหน้าตากูสวยมั้ย"ภรรยาบอกว่าไม่สวยหรอกนายอารีบอกว่าจะสวยไม่สวยอยู่ที่ปากของเรานี่แหละ 

จากนั้นได้นั่งกินข้าวภายในห้องซึ่งตนนั่งกินข้าวและพูดจาให้ภรรยาฟังหลายเรื่องจนกระทั่งกินข้าวหมดหม้อ ขณะที่แฟนสาวมองดูอาการของตัวเองที่มีอาการแปลกๆแต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรได้แต่ภาวนาให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยปกปักรักษาให้แคล้วคลาดปลอดภัยบอกภรรยาออกไปว่าจะมีโชคเร็วๆนี้ห้ามไม่ให้บอกใครถ้าแฟนอายุ30ปีจะมีโชคใหญ่ปัจจุบันนี้ภรรยาอายุ 25 ปี

ด้านนายอุดม  แนวสุข นายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองหนองกี่ อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี   กล่าวว่า “สำหรับโรงเรียนร้างดังกล่าว สังกัดการศึกษาเอกชน (โรงเรียนประไพปัญญา) ที่มีผู้พบเห็นคนแต่งชุดไทยสีเขียว เป็นข่าวดังดังนี้นั้น    ก่อตั้งโดยกลุ่มญาติพี่น้อง(ครู)  รวมทุนกัน เป็นนักธุรกิจการศึกษาที่เป็นชาว  ต.สำพันตา อ.นาดี  จ.ปราจีนบุรี  มาซื้อที่ดังกล่าวสร้างโรงเรียนขึ้นมาร     แต่จากสภาพภูมิประเทศเป็นที่ลุ่มต่ำใกล้แควขโมง   จึงถูกน้ำท่วมระดับสูงทุก ๆ ปี  และ   ยุบโรงเรียนมากว่า 10ปีแล้ว

สำหรับศาลเจ้าพ่อเสือ ที่ตั้งอยู่ประมาณ 300 เมตรจากโรงเรียนร้าง    เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิเป็นที่เคารพสักการะอีกแห่งหนึ่งของชาวอ.กบินทร์บุรี อ.นาดี และใกล้เคียง   อดีตเป็นเส้นทางเดินกองทัพผ่านของกองทัพไทย   ในการปกป้องประเทศทั้งเดินทัพไปโจมตีหัวเมืองประเทศราช  ของกษัตริย์ไทยหรือแม่ทัพ    อาทิ ประเทศลาว  หรือ ประเทศกัมพูชา ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา และรัตนโกสินทร์ตอนต้น

ศาลเจ้าพ่อเสือเก่าแก่มาก่อนหน้า  ตนเองเห็นมาก่อนหน้านี้กว่า 70 ปี  โดยบริเวณดังกล่าวเป็นที่ตั้งของโรงเลื่อย หริตวรณ์ ซึ่งตลอดแควขโมงจะเป็นเส้นทางล่องท่อนซุงทั้งต้น   ลงมาจากผืนป่าดงพญาเย็น อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ และอุทยานแห่งชาติทับลาน  มาจากลำพญาธาร  มาจากแควขโมง   ก่อนล่องต่อไปแควหนุมาน และ  มาลงที่ต้นน้ำแม่น้ำปราจีนบุรีจึงเป็นที่มาของเจ้าแม่ตะเคียน  ที่มีจำนวนมากในศาลเจ้าพ่อเสือแห่งนี้  

ทุก ๆ ปีทางโรงเลื่อยจะจัดพิธีบวงสรวงยิ่งใหญ่ด้วยเครื่องเซ่นไหว้ เหล้า  หัวหมู   ไก่ กุ้ง  ปลา  ข้าวตอกดอกไม้ธูปเทียน เครื่องอาหารคาว หวาน ผลไม้   ยิ่งใหญ่ทุก ๆ ปี  และมีสิ่งศักดิ์สิทธิในศาลหลายอย่าง อาทิ เจ้าพ่อเสือที่คนมักไปขอพร โชคลาภ เจ้าแม่ตะเคียนให้เลขเด็ดถูกกันจำนวนมาก