เลขาฯป.ป.ส. ฟาดกลับ น.1 ไม่มีคำสั่งห้าม ตร.เข้าตรวจหลักฐานในคดีผับจินหลิง ลั่น “ความจริงย่อมมีเพียงหนึ่งเดียว”

“ความจริงย่อมมีเพียงหนึ่งเดียว”

เลขาฯป.ป.ส. ฟาดกลับ น.1 ไม่มีคำสั่งห้าม ตร.เข้าตรวจหลักฐานในคดีผับจินหลิง ลั่น “ความจริงย่อมมีเพียงหนึ่งเดียว”





ad1

30 ธ.ค. 2565  ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด หรือ ป.ป.ส. นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ นำหลักฐานวิดีโอการให้สัมภาษณ์ของ พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น.1 และคลิปที่นายตู้ห่าว ข่มขู่ผู้รับเหมา 7 ราย ในการก่อสร้างศูนย์ผ้าไหม ศูนย์ยางพารา อพาร์ตเมนต์ และศูนย์ไข่มุก รวม 4 แห่ง มูลค่า 700-800 ล้านบาท มามอบให้ นายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการ ป.ป.ส. เพื่อตรวจสอบทรัพย์สินที่มีหลักฐานชัดเจนว่า นายตู้ห่าว เป็นคนลงนามในเช็ค และมีการเบิกจ่ายเงินผ่านคนใกล้ชิด อักษรย่อ อ.อ่าง ของ นายตู้ห่าว ไปยังผู้ประกอบการ ซึ่งระหว่างการสัมภาษณ์นายชูวิทย์ได้เปิดคลิปหลักฐานที่นายตู้ห่าว ข่มขู่ผู้รับเหมา และคลิปที่ทรมานคนจีนเพื่อรีดทรัพย์ให้สื่อมวลชนดู

นายชูวิทย์ กล่าวว่า การแถลงข่าวชี้แจงคดีจินหลิงของ ผบช.น.เมื่อวานนี้เป็นการไม่พูดความจริงเป็นการพยายามโยนความผิดให้ ป.ป.ส.และหน่วยงานอื่น โดยเฉพาะการเข้าไปตรวจรถยนต์หรูของกลางคดีจินหลิง ที่อ้างว่าเพิ่งเข้าไปตรวจสอบเพราะไม่มีกุญแจ และรหัสเข้า มองว่าในวันที่เข้าไปตรวจค้นผับจินหลิงของตำรวจ เจ้าของรถก็อยู่ที่ร้านแต่กลับไม่ทำให้ครบถ้วน กลับมีการปล่อยตัวผู้ต้องหาไป ไม่ดำเนินการตรวจสอบตั้งแต่ตอนแรก เหมือนเป็นการโยนความผิดให้ ป.ป.ส. ที่มีคำสั่งยึดทรัพย์สินไว้ตรวจสอบชั่วคราว ทำให้ตำรวจเข้าไปตรวจสอบไม่ได้ อีกทั้งการเก็บหลักฐานอุปกรณ์ยาเสพติดในที่เกิดเหตุก็เก็บไม่หมด แต่เลือกเก็บหลักฐานบางชิ้นที่ตรวจแต่กลับไม่พบสารเสพติด จึงอยากถามว่าทำงาน​กันอย่างไร และไม่มีการวางแผนอะไร

นายชูวิทย์กล่าวต่อว่า การแถลงข่าวเมื่อวานนี้ คนที่มานั่งแถลงข่าว กลับไม่ใช่คนที่ดูแลสำนวนคดีจินหลิง ทั้งๆ ที่คนที่ควรมานั่งแถลงข่าวต้อง พล.ต.ต.สมควร พึ่งทรัพย์ และ พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น ซึ่งรับผิดชอบคดีโดยตรง โดยในอดีตพบว่า พล.ต.ต.สมควร เคยทำคดีทัวร์ศูนย์เหรียญที่ยกฟ้องไปแล้ว ส่วน ผบช.น.รายนี้ในอดีตที่ดำรงตำแหน่งผู้การ จ.สระบุรี แต่ถูกคำสั่ง คสช. ม.44 ย้ายออกจากพื้นที่ในคดีปัญหาเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ ถึงแม้ว่าจะไม่พบความผิดก็ตาม แต่กลับถูกแต่งตั้งให้เป็น ผบช.น.ได้อย่างไร

“ยืนยันว่าหลักฐานที่ตนเอาไปยื่นให้กับตำรวจนั้น ทางอัยการกลับเปิดเผยว่าไม่มีหลักฐานดังกล่าวในสำนวน เพราะหลักฐานดังกล่าว ไม่ถูกนำเข้าไปพิจารณาในการทำคดี จึงเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรี มีคำสั่งไปยัง สตช.ให้ย้าย ผบช.น.ออกจากตำแหน่ง เนื่องจากมองว่าไม่มีความรู้ความสามารถเพียงพอที่จะดำรงตำแหน่งนี้”

ภายหลังการมอบหลักฐานให้กับนายวิชัย ไชยมงคล รองเลขาธิการ ป.ป.ส. เปิดเผยว่า หลังจากนี้ทาง ป.ป.ส.จะนำเอกสาร หลักฐานตรวจทรัพย์สินที่นายชูวิทย์ มอบให้ไปตรวจสอบ โดยเฉพาะที่ตั้งของทรัพย์สินว่ามีอยู่จริงหรือไม่ ใครเป็นเจ้าของ ซึ่งเบื้องตนเชื่อว่ามีมูลตามที่นายชูวิทย์ กล่าวอ้าง แต่ก็ต้องมีการตรวจสอบในรายละเอียด ก่อนที่จะมีคำสั่งต่อไป โดยเฉพาะทรัพย์ที่เสื่อมค่า เช่น รถยนต์ ทาง ป.ป.ส.จะทำการขายทอดตลาด และนำเงินสดมาเก็บไว้ในกองทุน ป.ป.ส. ส่วนทรัพย์สินที่ไม่เสื่อมค่า เช่น อสังหาริมทรัพย์ เพชร พลอย ทอง จะรอจนกว่าศาลจะมีคำสั่งให้ขายทอดตลาด พร้อมยืนยันว่าหลักฐานที่นายชูวิทย์ นำมามอบให้วันนี้ยังไม่มีข้อมูลจากหน่วยงานอื่นโดยเฉพาะตำรวจ

นายวิชัย กล่าวต่อว่า ทางตำรวจเข้าไปตรวจยึดรถยนต์ในคดีผับจินหลิง ยืนยันว่าทางตำรวจได้มอบของกลางรถยนต์ 33 คัน ไม่ใช่ 35 คัน ตามที่เป็นข่าว ส่วนตัวอาคาร ป.ป.ส.มีคำสั่งเข้าตรวจยึดเมื่อวันที่ 7 ธ.ค.ที่ผ่านมา ส่วนเมื่อวันที่ 27 ธ.ค.65 ที่ ป.ป.ส.ได้ร่วมกับตำรวจ เข้าไปตรวจสอบรถยนต์ มีการทำรายงานทรัพย์สินมอบให้กับ ป.ป.ส.แล้ว นอกจากนี้ที่ ผบช.น.อ้างว่าที่เข้าตรวจสอบ และเก็บหลักฐานล่าช้าเป็นเพราะ ป.ป.ส.มีคำสั่งอายัดทรัพย์สินไว้ตรวจสอบนั้น ยืนยันว่าพนักงานสอบสวนมีอำนาจและสามารถเข้าไปตรวจสอบและเก็บหลักฐานได้ทุกเวลา เพียงแค่ประสานทาง ป.ป.ส.เข้ามาเท่านั้น

นายวิชัยเน้นย้ำว่า ตามระเบียบของ ป.ป.ส.ไม่ได้ห้ามให้พนักงานสอบสวนเข้าตรวจหลักฐาน แต่การที่ตำรวจไม่เข้าตรวจสอบตั้งแต่แรก โดยอ้างว่าเป็นคำสั่งป.ป.ส.นั้น “ความจริงย่อมมีเพียงหนึ่งเดียว”