“รมต.ชัยวุฒิ-รองต่อ –รองเอ็ด” นำทีมแถลงสรุปภาพรวมยุทธการซัตดาวน์(ตัดสาย) ทลายขบวนการโยงสายเน็ตเชื่อมกัมพูชา

“รมต.ชัยวุฒิ-รองต่อ –รองเอ็ด” นำทีมแถลงสรุปภาพรวมยุทธการซัตดาวน์(ตัดสาย) ทลายขบวนการโยงสายเน็ตเชื่อมกัมพูชา





ad1

นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ “เสี่ยโอ๋”  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม,พ.ต.ท.อนุรักษ์ จิรจิตร  “รองเอ็ด”   ที่ปรึกษารัฐมนตรีกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม  พร้อมด้วย พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล “รองต่อ”  รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ - ,พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. , พล.ต.ต.วิวัฒน์ คำชำนาญ รอง ผบช.สอท., พล.ต.ต.วริศร์สิริภ์ ลีละสิริ ผบก.สอท.2, พล.ต.ต.ชรินทร์ โกพัฒน์ตา ผบก.สอท.5 พล.ต.ต. จรูญเกียรติ ปานแก้ว ผบก.ปปป. ร่วมกันแถลงข่าวผลการปิดล้อมตรวจค้นเป้าหมาย 6 เป้าและจุดเชื่อมต่อชายแดน 1 จุด ในจังหวัดสระแก้วและจังหวัดจันทบุรี ตามยุทธการ SHUT DOWN (ตัดสาย) และระดมกวาดล้างจับกุมบัญชีม้าทั่วประเทศ

พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล  รอง.ผบ.ตร.กล่าวว่า สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 27 เม.ย. ที่ผ่านมามีผู้เสียหายมาแจ้งความร้องทุกข์ ว่าถูกกลุ่มคนร้ายชักชวนหลอกให้ลงทุน โดยพฤติการณ์กลุ่มคนร้ายได้เปิดเว็บไซด์ชื่อ AMATA ชักชวนให้ลงทุนโดยมีการเสนอผลตอบแทนในจำนวนที่สูงกว่าที่สถาบันการเงินทั่วไปให้ได้ ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงได้นำเงินลงทุน ต่อมาเมื่อครบกำหนดกลับไม่ได้ผลตอบแทนตามที่ตกลง ผู้เสียหายพยายามขอเงินคืน แต่กลับให้นำเงินมาลงทุนเพิ่มเติมอีก เสียหายจำนวน 257,115.16 บาท จึงได้แจ้งความร้องทุกผ่าน www.thaipoliceonline.com

ต่อมาชุดสืบสวนได้ตรวจสอบพบมีความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับเครือข่ายอินเตอร์เน็ตของบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (NT) โดยมีนายมโนรม สม( MR.MONOROM SOM ) ชาวกัมพูชา เป็นผู้ยื่นคำขอใช้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงสำหรับองค์กร จากการตรวจสอบพบมีค่าบริการรายเดือนกว่า 200,000 บาท  เป็นการขอใช้บริการภายในประเทศ แต่เมื่อลงพื้นที่ตรวจสอบกลับไม่พบจุดติดตั้งอินเตอร์เน็ตภายในประเทศดังกล่าวแต่อย่างใด จึงได้ตรวจสอบทางเทคนิคพบว่ามีการเชื่อมต่อสัญญาณอินเตอร์เน็ตข้ามไปฝั่งประเทศกัมพูชา สอดคล้องกับข้อมูลของ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด ไม่พบว่ามีสัญญาให้ใช้บริการระหว่างประเทศแต่อย่างใด เชื่อว่ามีการลักลอบนำสัญญาณอินเตอร์เน็ตจากประเทศไทยเข้าไปใช้ในกัมพูชา อย่างไรก็ตามปฏิบัติการดังกล่าวจะนำไปสู่ตัดวงจรขบวนการคอลเซ็นเตอร์ให้ได้มากที่สุด จะเน้นในเรื่องของการตัดวงจร ซิม-สาย-เสา  ซึ่งในส่วนของซิม ได้มีการปฏิบัติการปิดล้อมตรวจค้นกวาดล้างโดยได้ตรวจยึดซิมโทรศัพท์มากกว่า 2 แสนเบอร์ ส่งผลให้สถานการณ์ลดลงไปกว่าร้อยละ 25 แต่สิ่งที่ต้องทำต่อไปคือเรื่องของสายและเสา ซึ่งหากสามารถตัดสัญญาณที่มีการลักลอบลงได้ก็จะทำให้สถานการณ์เบาลงได้เยอะ เพราะขบวนการนี้ทำมานานกว่า 12 ปี อีกทั้งมีเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องโดยขั้นตอนต่อไปทางบช.สอท. ร้องทุกข์ต่อบก.ปปป. ให้ดำเนินการ หากพบว่ามีเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปเกี่ยวข้องจะต้องดำเนินการตามมาตรา 157 ต่อไป  และหากพบว่าใครมีส่วนรู้เห็นต่อการกระทำความผิด เป็นตัวการในการสนับสนุนก็จะต้องดำเนินการตาม ม.83 อีกด้วย 

พล.ต.ต.วิวัฒน์ คำชำนาญ รอง ผบช.สอท. กล่าวอีกว่า ในการตรวจสอบพบว่านายมโนรม สม มีการเดินทางเข้า-ออก ไทยอยู่บ่อยครั้ง และประกอบธุรกิจเป็นผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต ภายในประเทศกัมพูชา โดยกลุ่มลูกค้าส่วนมากเป็นกลุ่มที่กระทําการผิดกฎหมาย เช่น กลุ่มคอลเซ็นเตอร์ ที่โทรศัพท์ หลอกลวงต่างๆ กลุ่มทําเว็บไซด์การพนันออนไลน์ นอกจากนี้ยังพบความเชื่อมโยงระหว่างนายมโนรม สม กับนายอภิรักษ์ หรือเสี่ยโป้ ชัชอานนท์ โดยพบว่า มีการใช้หมายเลขไอพีแอดเดรส 122.154.105.68 มีการทํารายการโอนเงินในการฟอกเงินที่ได้จากการกระทําผิด จากการตรวจสอบพบว่าเป็นของบริษัท กสท โทรคมนาคม จํากัด (มหาชน) หรือ CAT ระบุชื่อผู้ขอ ใช้บริการอินเทอร์เน็ตคือนายมโนรม ซึ่งหลังจากนี้อยู่ระหว่างการขยายผลจับกุมต่อไป

ด้านนายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์   รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม  กล่าวว่า ส่วนตัวขอชื่นชมสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ได้เอาจริงเอาจังในการปราบปรามผู้กระทำความผิดอย่างเต็มที่ ซึ่งวันนี้สามารถจับกุมได้ทั้งบัญชีม้า ทั้งผู้ที่เกี่ยวข้องกับการใช้อินเทอร์เน็ต และผู้ที่ลักลอบนำสัญญาณไปขายให้ประเทศเพื่อนบ้าน รวมถึงคนที่เกี่ยวข้องทั้งหมดที่ทำให้เกิดกระบวนการหลอกลวงต่าง ซึ่งสามารถจับกุมและดำเนินคดีไปได้จำนวนมาก ต่อไปถ้ามีการป้องกันเรื่องซิมที่ไม่ถูกต้อง สายอินเทอร์เน็ตที่ข้ามไปประเทศเพื่อนบ้านไม่ถูกต้อง อาชญากรรมเหล่านี้จะหายไป

ผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีมีเจ้าหน้าที่บางคนอำนวยความสะดวกหรือสนับสนุนผู้กระทำผิดเพื่อหวังผลตอบแทนในส่วนของกระทรวงดิจิทัลมีมาตรการในการดำเนินการอย่างไร รมต กล่าวว่า ถ้าในส่วนบริษัทโทรคมนาคมแห่งชาติหากมีเจ้าหน้าที่ลักลอบนำสัญญาณอินเทอร์เน็ทไปขาย ให้กับประเทศเพื่อนบ้านนั้นมีความผิดแน่นอน ซึ่งถือเป็นการทุจริตตามกฎหมาย ซึ่งเราจะส่งเรื่องให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดี ซึ่งเราก็จะรวบรวมพยานหลักฐายและหาข้อเท็จจริงว่าใครเกี่ยวข้องบ้านก่อนจะเรื่องให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการ

มีรายงานว่า ปฎิบัติการดังกล่าวทั้ง 6 จุด เจ้าหน้าที่ได้ทำการตรวจค้นหาพยานหลักฐานจากบ้านพักของเจ้าหน้าที่รัฐและ ผู้ที่มี ความเชื่อมโยงกับขบวนการดังกล่าว  อย่างไรก็ตามทางบช.สอท.จับกุมผู้ต้องหา(บัญชีม้า) ได้กว่า 60 รายจาก 100 หมายจับ โดยในจำนวนนี้ที่เกี่ยวข้องก้บขบวนการดังกล่าว  จำนวน 10 รายในความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น,ร่วมกันโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมด หรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน