คนงาน บ.ฟ็อกซ์คอนน์ ในจีน ผู้ผลิตไอโฟนรายใหญ่สุดของโลก ปะทะเดือดจนท. หลังประท้วงไม่พอใจการจ่ายเงิน-มาตรการโควิด

24 พ.ย. 2565  เกิดเหตุประท้วงรุนแรงที่โรงงานฟอกซ์คอนน์ ซึ่งเป็นโรงงานใหญ่ที่ผลิตไอโฟนแห่งใหญ่ที่สุดในโลกในประเทศจีน  โดยเหตุการณ์ได้เกิดขึ้นเมื่อช่วงบ่ายของวันที่ 23 พ.ย. และจากคลิปวิดีโอที่ถูกแชร์ในโลกออนไลน์แสดงให้เห็นว่าผู้ประท้วงได้ขว้างปาขวดน้ำและสิ่งของใส่ตำรวจ นอกจากนี้ยังทำลายกล้องวงจรปิด และทรัพย์สินภายในโรงงาน ขณะที่ตำรวจได้ลงมือใช้กระบองทุบตีผู้ประท้วง  ระดมยิงแก๊สน้ำตา จนกลายเป็นเหตุการณ์ชุลมุนวุ่นวายนานหลายชั่วโมง

สาเหตุการณ์ประท้วงรุนแรงมาจากแผนการชะลอการจ่ายเงินโบนัส โดยผู้ประท้วงหลายคนกล่าวถึงเรื่องนี้ในการไลฟ์สดระหว่างการประท้วง คลิปภาพที่มีการเผยแพร่ออกมามีภาพคนงานร้องตะโกนเรียกร้องให้จ่ายเงินให้พวกเขา และมีภาพการใช้แก๊สน้ำตาและผู้ประท้วงพังกำแพงกั้นสำหรับการแบ่งพื้นที่กักโรค ภาพเหตุการณ์การแสดงความโกรธเกรี้ยวไม่พอใจที่ไม่ค่อยปรากฎให้เห็นบ่อยนักในประเทศจีน เป็นเหตุความไม่สงบที่รุนแรงเพิ่มมากขึ้นที่โรงงานแห่งนี้ที่อยู่ในเมืองเจิ้งโจว

และกลายเป็นสัญลักษณ์ในการแสดงออกถึงความไม่พอใจกับมาตรการคุมเข้มเพื่อป้องกันการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ความไม่พอใจเรื่องมาตรการคุมโควิดอย่างเข้มงวด และการที่บริษัทไม่สามารถกำจัดการระบาดและสภาพความเป็นอยู่ที่ย่ำแย่ ที่รวมถึงการขาดแคลนอาหาร ทำให้คนงานจำนวนมากหนีออกจากพื้นที่โรงงานตั้งแต่ฟอกซ์คอนน์ ที่ผลิตสมาร์ทโฟนให้กับบริษัทแอปเปิล การล็อกดาวน์โรงงาน ที่ให้พนักงานทำงานและอาศัยอยู่แต่ภายในโรงงาน ตัดขาดจากโลกภายนอก อดีตคนงานบางคนประมาณการว่า มีผู้ที่หลบหนีออกจากโรงงานหลายพันคน

โดยในช่วงมาตรการล็อกดาวน์ คนงานจำนวนหนึ่งได้หนีออกจากหอพักกลับไปที่บ้าน และพบว่าทางโรงงานได้จ้างคนงานชุดใหม่เข้ามาเตรียมทำงานแทนด้วยค่าตอบแทนสูงกว่า และมีการแก้ไขสัญญาจ้างของคนงานชุดเก่า ในขณะที่คนงานซึ่งอยู่ระหว่างกักตัวกลับไม่ได้รับอาหารและการดูแลที่ดีพอ ทำให้พวกเขาเกิดความโกรธแค้น

ทั้งนี้ ก่อนที่จะเกิดความไม่สงบ ฟอกซ์คอนน์ จ้างคนงานประมาณ 200,000 คน และเพื่อเป็นการโน้มน้าวพนักงานเดิมและดึงดูดพนักงานใหม่ ฟอกซ์คอนน์เสนอให้โบนัสและเงินเดือนที่เพิ่มมากขึ้น

โรงงานฟ็อกซ์คอนน์ แห่งนี้เป็นโรงงานผลิตไอโฟน โทรศัพท์มือถือของบริษัทแอปเปิล ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งล่าสุดทางบริษัทออกแถลงการณ์ระบุว่าจะมีการเจรจากับคนงานและหน่วยงานท้องถิ่น เพื่อหาทางป้องกันไม่ให้เกิดเหตุรุนแรงแบบนี้อีกในอนาคต