ในสยามนี้มีเรื่องเล่า..ราชันย์พระเครื่อง สมเด็จวัดระฆัง     

พระ

ในสยามนี้มีเรื่องเล่า..ราชันย์พระเครื่อง สมเด็จวัดระฆัง     





ad1

ในสยามนี้มีเรื่องเล่า                                                ราชันย์พระเครื่อง สมเด็จวัดระฆัง                    โดย..ดร.สุวิจักขณ์ ภานุสรณ์ฐากูร


     หนึ่งในเบญจภาคีที่มีราคาแพงที่สุด เป็นที่ต้องการมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นเซียนพระหรือบุคคลธรรมดา ราชันย์แห่งพระเครื่องที่ปลุกเสกโดย เกจิลือนาม หลวงปู่โตพรหมรังสีแห่งวัดระฆังโฆสิตาราม 
     ผู้ที่ใครหลายท่าน คิดว่าหลวงปู่เป็นยิ่งกว่าพระอริยสงฆ์ แต่เป็นพระโพธิสัตว์ผู้จะอุบัติเกิดเป็นพระพุทธเจ้าในกาลต่อไป
     เมื่อแรงอธิษฐานเต็มกำลัง โดยหมายใจให้เป็นพระเครื่องบูชาติดแผ่นดินแห่งรัตนโกสินทร์นี้ ทำให้พระเครื่องดังกล่าว "ทรงอนุภาพฤทธิรุตม์"
     แต่กระนั้น ด้วยอานุภาพเหลือประมาณ ก็จะคุ้มครองแต่คนดีเท่านั้น เพราะเมื่อหลายปีก่อน ผมก็เห็นข่าวเจ้าพ่อคนหนึ่ง "อมพระสมเด็จ" ยิงต่อสู้กับพวกที่เข้ามารุมทำร้าย กระสุนไม่เข้าก็จริง แต่แรงกระแทกของกระสุน ที่สาดเข้ามานับไม่ได้ "ปลิดชีวิต" เจ้าพ่อคนนั้น ทั้ง ๆ ที่อมพระสมเด็จที่อยู่ในปาก

     ตอนที่หลวงปู่ สร้างพระสมเด็จขึ้นมา ในเวลานั้นไม่มีราคาค่างวดอะไร เรียกว่าทำแจกเสียมากกว่า ผมเคยได้ยินคนพูดกันว่า พระสมเด็จที่หลวงปู่สร้างนั้น ไม่ได้มีเอาไว้ขาย หลวงปู่ไม่ได้เจตนาให้มีราคานับเป็นล้าน ๆ เหมือนอย่างในปัจจุบัน อีกทั้งการซื้อขายพระไม่ได้อยู่ในวิสัยของผู้ประพฤติธรรมอย่างหลวงปู่
     สำหรับผมแล้วราคาของพระ เกิดขึ้นจากคนบางกลุ่ม ที่ตั้งราคาขึ้นมา โดยอาจเห็นว่าเป็นของหายากมีจำนวนน้อย...
     แต่ถ้าทุกบ้านมีพระสมเด็จ แท้ ๆ สวย ๆ ราคาพระสมเด็จ จะเป็นเหมือน ที่เขาซื้อขายกันหรือไม่ อันนี้ผมตั้งข้อสังเกตเฉย ๆ
     ข้ามจากเรื่องของพระสมเด็จ ผมขอกลับมาพูดคุยถึงหลวงปู่โตพรหมรังษี ผู้ที่ได้สร้างตำนานสมเด็จวัดระฆัง อันลือเลื่อง ซึ่งคิดว่ายิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ ทั้งมูลค่าและคุณค่าของ พระเครื่องสมเด็จวัดระฆัง ก็คงจะยิ่ง มากขึ้นเป็นทวี
      โดยส่วนตัวผมเองก็นับถือ หลวงปู่โต ด้วยว่าสวดคาถาชินบัญชรอยู่เป็นประจำ ดังนั้นแล้ว จึงพอจะมีเกร็ดความรู้เกี่ยวกับเรื่องของหลวงปู่มาเล่าสู่กันฟัง 
     หลวงปู่ เกิดมาในแผ่นดินรัตนโกสินทร์ตอนต้น คือต้นกรุงกันเลยทีเดียว ดังนั้นหลวงปู่จึงได้มีโอกาส เห็นพระพักตร์ของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช 
     ครั้งเมื่อตอนที่ปั้น รูปปั้นของพระองค์เพื่อประดิษฐานเอาไว้ในวิหารหลวง หลวงปู่จึงเป็นผู้ให้ข้อมูล ในเรื่องของรูปลักษณ์ของพระองค์
     โดยในขณะนั้นอยู่ในแผ่นดินของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 บุคคลที่มีอายุยืนยาว ตั้งแต่ต้นกรุงเหลืออยู่เพียง 5 ท่านเท่านั้น 
     และหลวงปู่เป็นหนึ่งในนั้น
หลวงปู่บอกว่าพระพักตร์ของ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกนั้น คล้ายกับพระนัดดาของพระองค์ ก็คือพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวนั่นเอง 
     ดังนั้นเราจะเห็นว่า พระพักตร์ของรัชกาลที่ 1 กับรัชกาลที่ 3 นั้น ละม้ายคล้ายกัน ...  

     อีกเรื่องหนึ่งเป็นเรื่องที่ หลวงปู่นั่งเรือ ไปไหนสักแห่งหนึ่ง ในระหว่างทาง ได้บอกกับคนแจวเรือว่า หากถึงช่วงเวลาก่อนเพล ให้บอกด้วยเพราะหลวงปู่จะนั่งสมาธิ ที่ให้บอกนั้น เพราะหลวงปู่จะได้ฉันเพลบนเรือ
     ครั้งถึงเวลาใกล้เพล (อันนี้ไม่แน่ใจว่า รู้ได้อย่างไร เพราะเมื่อก่อนนั้นไม่มีนาฬิกาที่ดูกันง่าย ๆ เหมือนอย่างปัจจุบัน ขอบอกว่าข้อมูล ที่นำมาเล่าสู่กันฟังนี้ ก็ได้มาจากสื่อออนไลน์เหมือนกัน)
     เวลาผ่านไปจนกระทั่งเลยเวลาเพล หลวงปู่ก็ออกจากสมาธิ แล้วถามไปยังคนแจวเรือว่า เพลแล้วรึ คนแจวเรือ ตอบว่าใช่ หลวงปู่บอกว่าแล้วทำไมจึงไม่เรียก คนแจวเรือตอบ เห็นหลวงปู่กำลังนั่งสมาธิอยู่ จึงไม่กล้าเรียก
     หลวงปู่จึงบอกว่า มันเพลอยู่ตรงไหน หมายถึงตอนที่เวลาเพล เรืออยู่ตรงไหนของคุ้งน้ำ คนแจวเรือหันหลังกลับ แล้วชี้ไปบริเวณโค้งน้ำที่เรือผ่านมา "อยู่ตรงโค้งนั้นพระคุณเจ้า"
     ดี แจวกลับไปตรงนั้นแหละ ฉันจะฉันเพล ตรงที่ ๆ มันเพลพอดี มันเพลตรงไหนฉันก็จะฉันตรงนั้น
     อีกเรื่องยังคงเป็นเรื่องเกี่ยวกับเรือ ครั้งหนึ่งหลวงปู่ได้เดินทางทางเรือ โดยในครั้งนั้น ต้องเข้าไปทำพิธีในวังหลวง จึงต้องเอาพัดยศไปด้วย 
     ครั้งเมื่อเสร็จจากพิธีได้เดินทางกลับ ระหว่างทางน้ำเกิดลดทำให้เรือนั้นติดดอนเดินทางต่อไม่ได้ 
     ชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์ ต่างก็มาช่วยกันลุนเรือ หลวงปู่เองนั่งอยู่บนเรือ ก็ลงมาช่วยลุนเรือด้วย 
     เมื่อชาวบ้านเห็นเช่นนั้น จึงรีบบอกหลวงปู่ว่า ท่านเจ้าคุณอย่าทำอย่างนั้นเลย ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพวกผมเถอะท่านเจ้าคุณอยู่บนเรือนั่นแหละดีแล้ว 
     หลวงปู่ตอบว่า "เจ้าคุณ" ก็อยู่บนเรือนั่นไง ส่วนฉันนั้น เป็นพระธรรมดา จึงลงมาช่วย หลวงปู่หมายถึงพัดยศ ที่อยู่บนเรือนั่นเอง ที่หมายถึงเจ้าคุณ
     อีกเรื่องหนึ่ง ก็ยังเป็นข้อมูลที่ได้ฟังมาจากสื่อออนไลน์อีกเช่นเคย เล่ากันว่า พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ได้มีรับสั่งให้พระเจ้าลูกยาเธอ ก็คือรัชกาลที่ 2 พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ในเวลานั้นดำรงตำแหน่งเป็นอุปราช จัดทัพขึ้นไป ปราบกบฏที่เกิดขึ้นทางตอนเหนือของประเทศ
     ทัพของพระองค์ได้เดินทางมาจนกระทั่งถึงจังหวัดพิจิตร ได้พักแรมคืนกันที่นั่น ในคืนนั้นชาวบ้านได้จัด    
ลูกสาวของตนเอง มาดูแลท่านแม่ทัพ 
     วันรุ่งขึ้นก่อนที่ จะเดินทัพต่อ อุปราชได้มอบ เข็มขัดขององค์อุปราช ให้กับหญิงสาวผู้นั้น เพื่อเป็นเครื่องต่าง ระลึกถึง
     ผ่านมาหลายปี ได้มีเณรรูปหนึ่ง เดินทางมาจากจังหวัดดังกล่าว เข้ามายังกรุงเทพฯ เพื่อสอบ เป็นเณรหลวง 
     ผู้ที่คุมสอบคืออุปราช เพราะการสอบนั้นสอบในวัดพระแก้ว องค์อุปราชเห็นเณร ก็ให้รู้สึกถูกชะตา และยิ่งไปกว่านั้น เมื่ออุปราช เห็นสายเข็มขัดที่เณรคาดอยู่ จึงถามกับเณรไปว่า สายเข็มขัดนี้ได้แต่ใดมา
     เณรตอบว่า "แม่ให้มา"
     เรื่องนี้ ผมไม่กล้ายืนยันว่าเป็นเรื่องจริงร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ถ้ามันเป็นเรื่องจริง มองดูว่า "ราชวงศ์นี้นั้น เป็นที่อุบัติเกิดของ ผู้มีบุญญาธิการทั้งสิ้น"
    กลับมาในเรื่องของพระเครื่องอีกครั้งหนึ่ง สมเด็จพุทธโฆษาจารย์ ได้ให้ข้อคิด เกี่ยวกับพระเครื่องไว้ดังนี้ 

     "พระเครื่องนั้นเป็นเครื่อง ปิดกั้นความหวาดหวั่นใจ เป็นที่ให้ระลึกถึงผู้ที่ให้มาก็คือครูบาอาจารย์ของตนเอง ให้ระลึกอยู่ ถึงการกระทำคุณงามความดี โดยมีครูบาอาจารย์อยู่ใกล้ ๆ"
     สำหรับผมแล้วความหมายที่เกี่ยวกับพระเครื่อง ให้น้ำหนักไว้เช่นเดียวกับ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ท่านได้ให้ข้อคิดเอาไว้...