เงินตรึงดีเซลหมด พ.ค. ขอคนไทยยึดหลัก “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน”

เงินตรึงดีเซลหมด พ.ค. ขอคนไทยยึดหลัก “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน”
.
รมว.พลังงานกางแผนสู้วิกฤตราคาพลังงานพุ่ง ขอคนไทยช่วยประหยัด ตามหลักสุภาษิต “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน” ยันอุ้มดีเซลต่อจนกว่าจะไม่ไหว แม้เงินที่ใช้ตรึงราคาดีเซลเหลือลิตรละ 30 บาท กำลังจะหมดในเดือน พ.ค. นี้
.
วานนี้ 11 มี.ค. 65 นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ที่ราคาน้ำมันตอนนี้พุ่งสูงขึ้นมีที่มาจากหลายเหตุปัจจัย ทั้งเรื่องสถานการณ์โควิด-19 ที่คลี่คลาย เศรษฐกิจฟื้น การใช้พลังงานเพิ่มมากขึ้น กำลังผลิตที่เพิ่มกำลังไม่ทันต่อโลกที่ฟื้นตัว รวมถึงช่วงอากาศหนาวเย็นช่วงที่ผ่านมา ทำให้ราคาน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นเกือบ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา และจากสถนการณ์ความไม่สงบระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ที่ขณะนี้ดำเนินมาได้ 16 วันแล้ว 
.
สำหรับการบริหารจัดการในประเทศไทยยังดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ไม่มีผลกระทบ เนื่องจากมีการนำเข้าน้ำมันดิบจากรัสเซียแค่ 3% ไม่กระทบสัญญาจัดหาในปัจจุบัน ส่วนการช่วยเหลือตั้งแต่เดือน ต.ค. 2564 ใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงชดเชยไปแล้วกว่า 2.3 หมื่นล้านบาท ทั้งปรับสัดส่วนผสมบี100 ไม่ให้เกิน 5% ขอความร่วมมือค่าการตลาดไม่เกิน 1.40 บาท และลดภาษีสรรพสามิตรน้ำมันดีเซล 3 บาท
.
โดยรัฐบาลยังยืนยันที่จะตรึงราคาดีเซลไว้ที่ 30 บาททต่อลิตร ซึ่งหากราคาน้ำมันดิบไม่เกิน 115 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลเงินจากกองทุนน้ำมันที่กู้มารวมเพดาน 4 หมื่นล้านบาท จะอุดหนุนได้ถึงเดือน พ.ค. 2565 และเตรียมมาตรการรองรับวิกฤตพลังงาน โดยได้ประสานผู้ค้าน้ำมัน เพื่อเตรียมประกาศเพิ่มอัตราสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงตามกฎหมาย ให้ปริมาณน้ำมันดิบสำรองเพิ่มเป็น 5% จากเดิม 4% และน้ำมันสำเร็จรูปสำรองเพิ่มเป็น 2% จาก 1%
.
ส่วนการปรับลดสูตรบี 100 ที่ปัจจุบันเหลือไม่เกินบี 5 นั้น กระทรวงจะหารือกับกระทรวงพาณิชย์โดยดูสถานการณ์ สต็อกผลผลิตต่างๆ ว่าจะมีการปรับลดสูตรอีกหรือไม่ ยอมรับว่าทุกมาตรการอาจเป็นไปได้หมด และกระทรวงยืนยันว่าวางมาตรการเป็นระดับไว้แล้ว แต่ไม่สามารถบอกได้ตอนนี้ รอให้ถึงเวลาจะชี้แจงอีกครั้ง  
.
“จึงอยากให้ประชาชนช่วยกันประหยัดการใช้พลังงานอย่างน้อย 10% ก็จะช่วยประหยัดเงินในกระเป๋าของตัวเองตามสุภาษิต ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนในเบื้องต้นก่อน และอยากยืนยันอีกครั้งว่าบริมาณน้ำมันในประเทศไทยมีสำรองเพียงพอ แต่อาจจะราคาสูงก็ต้องยอมรับตรงนี้” นายสุพัฒนพงษ์กล่าว
.
ส่วนของพลังงานอื่นๆ เบื้องต้นรัฐจะปรับขึ้นราคาก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) ภาคครัวเรือน 15 บาท/ถังขนาด 15 กิโลกรัม (กก.) หรือขึ้นกก.ละ 1 บาท มาอยู่ที่ 333 บาทต่อถัง 15 กก. จากปัจจุบันอยู่ที่ 318 บาทต่อถัง 15 กก. โดยยืนยันว่าผู้ใช้ก๊าซหุงต้มทั่วไปจะไม่รู้สึกว่าราคาขยับขึ้นสูงมากจนเกินไปแน่นอน และยังคงช่วยเหลือกลุ่มเปราะผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 13.5 ล้านคน ที่ 45 บาทต่อถัง 15 กก.ต่อ 3 เดือน
.
สำหรับมาตรการช่วยเหลือค่าไฟฟ้า จากที่ได้ประกาศปรับค่าเอฟทีที่ราว 16 สตางค์ต่อหน่วยรอบเดือนม.ค.-เม.ย.2565 และรอบเดือนพ.ค.-ส.ค. 2565 ที่จะปรับขึ้นเป็นขั้นบันไดในงวดต่อไป ยอมรับว่าจะต้องปรับขึ้นแน่นอน แต่จะพยายามบริหารจัดการไม่ให้ขึ้นสูงมาก โดยกกพ.ได้ทำการบ้าน และพยายามทำให้อยู่ในกรอบเดิม โดยให้ประชาชนที่ใช้ไฟฟ้าระดับไม่เกิน 300 หน่วยต่อเดือน หรือคิดเป็นเงินประมาณ 1,200 บาทต่อเดือนให้สามารถใช้ไฟได้ในราคาเดิม