เจ้ไพรวัลย์ฟาดไม่ยั้ง!! หลังโดนต่อว่า "ทำทุกอย่างเพื่อแสวงหาเงิน แม้ศรัทธาของคนก็ทำลาย" สวนกลับ "ไม่แสวงหาเงินให้แสวงหาหอกพระแสงอะไรคะ ข้าวสารบ้านพี่ใช้ใบมะม่วงซื้อได้หรอคะ"
เจ้ไพรวัลย์ฟาดไม่ยั้ง


11 ก.ค. 2565 นายไพวัลย์ วรรณบุตร อดีตพระนักเทศน์ชื่อดัง ปัจจุบันได้ประสบความสำเร็จในการไลฟ์ขายสินค้าผ่านเฟชบุ้ก มีผู้ติดตามกว่า 2 ล้านราย ได้โพสเฟขบุ๊กฟาดคนที่เข้ามาโพสตำหนิว่า "ทำทุกอย่างเพื่อหาแสงหาเงิน แม้ศรัทธาของคนก็ทำลาย" อย่างแสบๆคันๆดังนี้ว่า :-
เพราะมึi ศรัทธาคนที่ภาพลักษณ์ ที่ยูนิฟร์อมไง มึ! ถึงโดนหลอกโดนต้ม โดนมิจฉาชีพในผ้าเหลืองตบทรัพย์ โดนเน็ตไอดอลที่แต่งตัวดีๆ ใช้ความน่าเชื่อถือ หลอกให้ซื้อของ หลอกให้ลงทุนลงแชร์กับมัน สุดท้ายเป็นไงล่ะคะ
ศาสนาพุทธสอนหลักสัมมาอาชีวะค่ะ คือให้หากินโดยสุจริต ไม่ต้มไม่ตุ๋นคนอื่นเลี้ยงชีพ อันนี้คือหัวใจของศาสนา ศาสนาพุทธไม่ได้สอนให้คนสร้างภาพลักษณ์ เพื่อแสวงหาเงินทองหรือแม้แต่ความนับถือและความศรัทธาจากใคร ดิฉันมั่นใจว่า ถึงตอนนี้ดิฉันก็ยังเดินตามทางที่พระพุทธเจ้าสอน
ศาสนาสอนให้คนนับถือคนจากการกระทำค่ะ ไม่ใช่จากเสื้อผ้าและการแสดง สอนให้นับถือศักยภาพในตัวเอง แสวงหา และเพียรพยายาม ศาสนาไม่ได้สอนให้คนนั่งบ่นถึงความศรัทธาที่มีต่อคนอื่นไปวันๆ นะคะ เอออ
ต่อให้คนแบบดิฉันทาปากแดง หรือใส่สไบยาว 8 เมตร ขายของ มันคือสัมมาอาชีวะค่ะ ตราบใดที่สไบของดิฉันไม่ได้ปลิวไปอุดรูจมูกใคร จนขาดอากาศหายใจ ยังไงก็คือสัมมาอาชีวะค่ะ
ดิฉันไม่เข้าใจเลยค่ะว่าการแต่งหน้าทาปากหรือแม้แต่นุ่งสไบใส่ผ้าถุงของดิฉัน มันเป็นการหลอกลวงทำร้ายทำลายศรัทธาของคนอื่นยังไง ผิดหลักศาสนาตรงไหน ดิฉันว่า ศาสนาพุทธที่ดิฉันเคยบวชมา ไม่ใช่ศาสนาที่ตื้นเขินหรือดูไร้เหตุผลขนาดนั้นนะคะ
ดิฉันไม่เข้าใจว่า รสนิยมการแต่งตัวของดิฉัน มันทำให้สติปัญญาหรือความรู้ความเข้าใจในหลักศาสนาที่ฉันเคยศึกษาเล่าเรียนมา มันสูญหายไปตรงไหน หรือยังไงคะ เช่นทาลิปแล้ว ธรรมะในจิตใจก็เลือนหายไปเลย แบบนี้หรอคะ แต่งหญิงแล้ว ต้องดูเสื่อม ดูไม่น่าเชื่อถือศรัทธา
อ้อ ! นี่หรอคะ สิ่งที่เรียกว่าความศรัทธาในความหมายของคนประเภทมีสติปัญญาในสมองค่อนข้างจำกัดหลายๆ คน
เลิกตัดสินคนที่รูปลักษณ์ภายนอกสักทีเถอะค่ะ ไม่ว่าจะเรื่องเพศสภาพหรือรสนิยมในการแต่งตัวการใช้ชีวิตในมิติอื่นๆ (ถ้ามันไม่ได้เดือดร้อนหรือสร้างความลำบากให้ใครอ่ะนะคะ)
เลิกเอาความเปลือกความปลอมที่ฉาบฉวย ไปชี้วัดคุณค่าในตัวของคนอื่นเถอะนะคะ ไม่ว่าจะเป็นคุณค่าในฐานะเพื่อนมนุษย์หรือเพื่อนศาสนิกร่วมศาสนา
ชีวิตคือความลื่นไหลไปต่อ และมันเปลี่ยนแปลงได้ในทุกขณะนะคะ ถ้าบอกว่าตัวเองเป็นคนพุทธ นี่คือหลักสำคัญของศาสนาเลย ชีวิตคือละคร ซึ่งคุณต้องเล่นให้ถูกบทถูกตอนและถูกเวลา
คนที่ทุกข์น้อยที่สุด คือคนที่เข้าใจสถานะและบทบาทของตัวเองที่เปลี่ยนแปลงไปค่ะ ไม่ใช่คนกอดยึดอดีต หรือหลงติดกับตัวตนเก่าๆ ที่มันได้อวสานไปแล้ว
ทุกวันนี้ดิฉันไม่เป็นทุกข์กับภาพฉายในอดีตของตัวเองเลย ไม่ว่าจะในฐานะของความเป็นพระหรืออะไร แต่ทำไมดูเหมือนใครหลายคนจึงพยายามจะมาเป็นทุกข์แทนดิฉันล่ะคะ ทำไม ?
ดิฉันกล่าวหลายต่อหลายครั้งแล้วว่า ดิฉันลาสิกขามาเพื่อเป็นฆราวาส ไม่ได้ลาสิกขามาเพื่อจะบวชชีพราหมณ์ คาดหวังอะไรจากแม่ค้าขายน้ำพริกตัวเล็กๆ อย่างดิฉันคะคุณพี่ คุณพี่อยู่จังหวัดอะไรคะ แหม่
ปล. ไหนๆ ก็ตื่นมาเยี่ยวล่ะ ถือโอกาสด่า เห้ยย เทศนาก่อนนอนแล้วกันนะคะ จบ!
แค่นั้นยังไม่แซ่บ เจ้าตัวได้สวนไปอีกหลายดอกดังนี้ว่า :-
"แต่งหญิงมาเพื่อจะขายน้ำพริก ไม่ได้แต่งหญิงมาเพื่อเป็นเจ้าแม่ตะเคียน จะมาศรัทธาดิฉันทำไมคะ สภาพพพ...
"ไม่ทำแสวงหาเงิน จะให้แสวงหาหอกหาพระแสงอะไรล่ะคะ ข้าวสารบ้านพี่ใช้ใบมะม่วงซื้อได้หรอคะ?
"ไม่ศรัทธาดิฉัน ก็ควรศรัทธาในลิปดิฉันค่ะ เพราะมันสีแดงประหลึ้งมาก"