Carbon Credit สร้างรายได้ให้เกษตรกรไทยอย่างไร?


คาร์บอนเครดิต (Carbon Credit) เป็นกฎกติกาที่นานาชาติค้าขายระหว่างกัน ได้ทำข้อตกลงเพื่อต้องการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์ทำลายสิ่งแวดล้อม โดยอุตสาหกรรมในประเทศไหนสามารถลดการปล่อยก๊าซได้มากก็สามารถนำเครดิตนั้นมาซื้อขายแลกเปลี่ยนเป็นมูลค่าได้ (อ่านที่มา Carbon Credit : https://www.tei.or.th/th/article_detail.php?bid=129
แต่สำหรับในแถบอาเซียน “คาร์บอนเครดิต” ถือว่ายังเป็นเรื่องที่ใหม่ ยังไม่ค่อยเข้าใจถึงการซื้อขาย มากนัก เพราะพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่เกษตรกรรม
ทีนี้ มาดูกันว่า หากเราอยู่ในกลุ่มเกษตรกรรม จะทำอย่างไรในการเข้าร่วมการซื้อขายคาร์บอนเครดิต
กลุ่มเกษตรกรรวมตัวซื้อขายคาร์บอนเครดิตได้หรือไม่?
คงเป็นคำตอบที่หลายคนอยากรู้ คำตอบคือ ทำได้ ปัจจุบัน กลุ่มเกษตรกรมีโอกาสเข้าสู่กระบวนการ
ซื้อขายคาร์บอนเครดิตได้มากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งเป็นโอกาสที่ดีในการสร้างรายได้เสริมและช่วยลดปัญหาโลกร้อนไปพร้อมกัน การทำเกษตรกรรมมีส่วนช่วยในการลดก๊าซเรือนกระจก ผ่านกิจกรรมทางการเกษตรหลายอย่าง เช่น การปลูกป่า การทำนาแบบเปียกสลับแห้ง การใช้ปุ๋ยหมัก สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้คาร์บอนเครดิตเป็นที่ต้องการของตลาด: บริษัทและองค์กรต่างๆ หันมาให้ความสำคัญกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากขึ้น ทำให้ความต้องการคาร์บอนเครดิตเพิ่มสูงขึ้น
นอกจากนั้น มีโครงการสนับสนุนจากภาครัฐและเอกชน: ทั้งภาครัฐและเอกชนหลายแห่งมีโครงการส่ง
เสริมให้เกษตรกรเข้าร่วมโครงการคาร์บอนเครดิต
ขั้นตอนกลุ่มเกษตรกรการซื้อขาย “คาร์บอนเครดิต”
-รวมกลุ่มและจัดทำโครงการ ก๊าซเรือนกระจก ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านคาร์บอนเครดิตเพื่อให้ได้คำแนะนำในการออกแบบโครงการและการคำนวณปริมาณคาร์บอนเครดิต
-นำโครงการไปขอรับรองจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คือ องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.)
-ขายคาร์บอนเครดิต: เมื่อโครงการได้รับการรับรองแล้ว สามารถนำคาร์บอนเครดิตไปขายให้กับผู้ซื้อ เช่น บริษัทที่ต้องการชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
สิ่งที่กลุ่มเกษตรกรควรพิจารณา
โครงการควรมีขนาดใหญ่พอที่จะสร้างคาร์บอนเครดิตได้ในปริมาณที่น่าสนใจ
- กิจกรรมที่ดำเนินการต้องมีความต่อเนื่องเพื่อให้สามารถสร้างคาร์บอนเครดิตได้อย่างสม่ำเสมอ
- ต้องมีการตลาดเพื่อหาผู้ซื้อคาร์บอนเครดิต
หลักเกณฑ์การพิจารณาลงทะเบียน
เริ่มต้นจากการที่ ผู้พัฒนาโครงการต้องจัดทำเอกสารข้อเสนอโครงการ ที่มีรายละเอียดโครงการ ระเบียบวิธีลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจ การคำนวณการดูดกลับ/การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก แผนการติดตามผลการดำเนินโครงการ รวมถึงการจัดประชุมรับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้เสียไว้ก่อนหน้าเรียบร้อยแล้ว
1.เป็นโครงการที่ดำเนินกิจกรรมเป็นไปตามกฎหมายหรือระเบียบที่เกี่ยวข้อง และมีการดำเนินงานสอดคล้องตามแนวทางการพัฒนาโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย ตามเกณฑ์ของ T-VER คือโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (Thailand Voluntary Emission Reduction Program)
2.มาตรฐานขั้นสูง โครงการ T-VER มาตรฐานขั้นสูง (Premium T-VER) ต้องเป็นกิจกรรมที่ตั้งอยู่ในประเทศไทย ที่สามารถตรวจวัดการลดก๊าซเรือนกระจกได้จริง และถาวร มีการดำเนินงานเพิ่มเติมจากการดำเนินงานตามปกติ ไม่มีการนับซ้ำ สนับสนุนให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืน
- มีการประชุมรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้เสีย และมีการรับฟังความคิดเห็นจากสาธารณะอย่างโปร่งใส
- กิจกรรมโครงการไม่ก่อให้เกิดผลกระทบด้านลบ หรือมีแผนการจัดการบรรเทาเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบด้านลบ และสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) มากกว่า 2 ด้าน
ติดต่อ อบก. หาแนวทางซื้อขายคาร์บอนเครดิต
หากคุณสนใจพัฒนาโครงการเพื่อซื้อขายคาร์บอนเครดิตในประเทศไทย แนะนำให้ติดต่อองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. เป็นหน่วยงานหลักที่ดูแลและส่งเสริมเรื่องการซื้อขายคาร์บอนเครดิตในประเทศไทย https://youtu.be/Q6h5YB-Nep0?si=8uqZXRbz43nE-R89
เตรียมตัวก่อนหน้าขับเคลื่อนโครงการ
1.ศึกษาข้อมูล: ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับคาร์บอนเครดิต โครงการตัวอย่าง และข้อกำหนดต่างๆ จากเว็บไซต์ของ อบก. ให้เข้าใจอย่างละเอียด ติดตามข่าวสาร: รวมถึงติดตามข่าวสารและความเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับนโยบายและกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับคาร์บอนเครดิตอยู่เสมอ
2.ประเมินศักยภาพ: ประเมินศักยภาพของพื้นที่หรือกิจกรรมที่คุณมี ว่ามีความเหมาะสมที่จะพัฒนาเป็นโครงการคาร์บอนเครดิตหรือไม่
3.ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ: ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญจาก อบก. หรือบริษัทที่ปรึกษา เพื่อขอคำแนะนำและความช่วยเหลือในการพัฒนาโครงการ
4.เลือกพันธมิตร: หากคุณไม่มีความรู้หรือประสบการณ์ในการพัฒนาโครงการคาร์บอนเครดิต อาจพิจารณาหาพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญมาร่วมงาน
4.จัดทำเอกสาร: จัดทำเอกสารประกอบการขอขึ้นทะเบียนโครงการตามที่ อบก. กำหนดยื่นขอขึ้นทะเบียน: ยื่นเอกสารขอขึ้นทะเบียนโครงการต่อ อบก. เพื่อพิจารณา
5.ดำเนินโครงการ: หากโครงการได้รับการอนุมัติ ให้ดำเนินโครงการตามแผนที่ได้รับการอนุมัติ
6.ตรวจสอบและรายงาน: ดำเนินการตรวจสอบและรายงานผลการดำเนินงานให้ อบก. เป็นระยะ
ทั้งนี้ สิ่งที่ผู้พัฒนาโครงการต้องพิจารณาในการดำเนินโครงการคาร์บอนเครดิต ได้แก่
ต้นทุนการดำเนินโครงการ เช่น ต้นทุนค่าธรรมเนียมโครงการ T-VER แก่ อบก. ประกอบด้วยค่าธรรมเนียมการขึ้นทะเบียนโครงการ 5,000 บาทต่อโครงการ และค่าธรรมเนียมขอรับรองคาร์บอนเครดิต 5,000 บาทต่อคำขอ รวมถึงต้นทุนค่าดำเนินงานอื่น ๆ เช่น เงินลงทุนการเปลี่ยนอุปกรณ์ เครื่องมือเครื่องจักร เป็นต้น
ต้นทุนแก่ผู้ประเมินประเมินภายนอก (Third Party Verification) ได้แก่ ต้นทุนตรวจสอบโครงการ และปริมาณก๊าซเรือนกระจก ซึ่งขึ้นอยู่กับความซับซ้อน และแตกต่างไปตามประเภทของโครงการ ซึ่งอาจอยู่ที่ประมาณ 40,000 – 65,000 บาทต่อโครงการ (รายชื่อผู้ประเมินภายนอกที่ได้รับการขึ้นทะเบียนโดย อบก.)
ข้อจำกัด เช่น โครงการประเภทป่าไม้จะมีข้อกำหนดขนาดแปลงขั้นต่ำ 10 ไร่ การถือครองเอกสารสิทธิ์ในการใช้ที่ดิน ข้อกำหนดรอบตัดฟันไม้ในพื้นที่โครงการระยะเวลา 10 ปี หรือโครงการประเภทอื่น ๆ ต้องเป็นกิจกรรมที่เพิ่มเติมจากการดำเนินการในรูปแบบปกติ (Additionality) จึงจะสามารถขอรับรองคาร์บอนเครดิตได้
สิ่งที่ควรรู้เพิ่มเติม
โครงการคาร์บอนเครดิตมีหลายประเภท เช่น โครงการปลูกป่า โครงการพลังงานหมุนเวียน โครงการจัดการขยะ
- โครงการคาร์บอนเครดิตต้องเป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนด เช่น มาตรฐานของประเทศไทย หรือมาตรฐานสากล
- การพัฒนาโครงการคาร์บอนเครดิตมีค่าใช้จ่าย เช่น ค่าศึกษาความเป็นไปได้ ค่าจ้างผู้เชี่ยวชาญ ค่าดำเนินการต่าง ในขณะที่ การพัฒนาโครงการคาร์บอนเครดิตใช้เวลาพอสมควร ตั้งแต่การศึกษาความเป็นไปได้จนถึงการได้รับการรับรองด้วย
สถานการณ์ของคาร์บอนเครดิตในไทย
-ไทยกำลังอยู่ในระหว่างการพัฒนาระบบการซื้อขายคาร์บอนเครดิต โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมให้ภาคเอกชนและประชาชนมีส่วนร่วมในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
-ภาคเอกชนหลายแห่งในไทยให้ความสนใจกับคาร์บอนเครดิต และเริ่มมีการดำเนินโครงการเพื่อผลิตคาร์บอนเครดิต
-ไทยมีศักยภาพในการผลิตคาร์บอนเครดิตจากแหล่งต่างๆ เช่น การปลูกป่า พลังงานหมุนเวียน และการจัดการขยะ ซึ่งเป็นโอกาสในการสร้างรายได้และส่งเสริมเศรษฐกิจสีเขียว
ประเทศไทยมีการซื้อขายคาร์บอนเครดิตตั้งแต่ ปี 2559 จนถึงปัจจุบัน (เมษายน 2567) จำนวน 3,258,033 tCO2eq มูลค่าการซื้อขายรวม 292 ล้านบาท คิดเป็นราคาเฉลี่ยตันละ 89.6 บาท
ทั้งนี้ ปริมาณคาร์บอนเครดิตที่เพิ่มขึ้นมากในช่วงที่ผ่านมา ตามเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของภาคธุรกิจที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น แต่ปริมาณการซื้อขายยังคงอยู่ในระดับต่ำ โดยคิดเป็นสัดส่วนเพียง 0.77% ของปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของไทยทั้งหมด ซึ่งอาจจะยังห่างไกลจากเป้าหมายการเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ของประเทศไทยในปี พ.ศ. 2593
แนวโน้มในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า
- คาดว่าความต้องการคาร์บอนเครดิตจะยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง
-การเพิ่มขึ้นของความต้องการและการแข่งขันในการผลิตคาร์บอนเครดิต จะส่งผลให้ราคาคาร์บอนเครดิตมีแนวโน้มสูงขึ้น
- จะมีการพัฒนามาตรฐานและกฎระเบียบ ที่เข้มงวดขึ้นเพื่อให้มั่นใจว่าคาร์บอนเครดิตมีความน่าเชื่อถือและมีคุณภาพ
- เทคโนโลยี blockchain จะเข้ามามีบทบาทในการบริหารจัดการคาร์บอนเครดิต ทำให้การซื้อขายมีความโปร่งใสและตรวจสอบได้มากขึ้น
-ไทยจะเข้าสู่ตลาดคาร์บอนเครดิตอย่างเต็มรูปแบบ: คาดว่าในอีก 2-3 ปีข้างหน้า ไทยจะมีระบบการซื้อขายคาร์บอนเครดิตที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น และภาคเอกชนจะเข้ามามีส่วนร่วมในการผลิตและซื้อขายคาร์บอนเครดิตมากขึ้น
ผลกระทบต่อไทย
-โอกาสในการสร้างรายได้: การผลิตและขายคาร์บอนเครดิตจะเป็นแหล่งรายได้ใหม่สำหรับประเทศไทย
-การลงทุนในโครงการลดก๊าซเรือนกระจก: จะมีการลงทุนในโครงการลดก๊าซเรือนกระจกมากขึ้น ซึ่งจะช่วยลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
-การพัฒนาเศรษฐกิจสีเขียว: การเติบโตของตลาดคาร์บอนเครดิตจะส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจสีเขียวและสร้างงานใหม่ ในขณะที่ การปรับตัวของภาคธุรกิจ: ภาคธุรกิจจะต้องปรับตัวเพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับคาร์บอนเครดิต
คาร์บอนเครดิตมีบทบาทสำคัญในการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และเป็นโอกาสทางธุรกิจที่น่าสนใจสำหรับประเทศไทย ในอนาคตอันใกล้ ตลาดคาร์บอนเครดิตทั่วโลกและในไทยจะมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอุตสาหกรรมด้านการเกษตร ที่มีแนวโน้มเอื้อต่อการซื้อขายคาร์บอนเครดิตเป็นอย่างมาก