คนไทยไม่ทิ้งกัน!ผู้แสวงบุญฮัจย์ 21 คนที่ถูกบริษัทลอยแพที่ซาอุดีอาราเบีย ได้เข้าโรงแรมใกล้มัสยิดฮารอมแล้ว

คนไทยไม่ทิ้งกัน!ผู้แสวงบุญฮัจย์ 21 คนที่ถูกบริษัทลอยแพที่ซาอุดีอาราเบีย ได้เข้าโรงแรมใกล้มัสยิดฮารอมแล้ว





ad1

คนไทยไม่ทิ้งกันผู้แสวงบุญฮัจย์ 21 คนที่ถูกบริษัทลอยแพที่ซาอุดีอาราเบีย ได้เข้าพักโรงแรมใกล้มัสยิดฮารอมแล้ว  จากคนไทยผู้ใจบุญจากบางบัวทอง  แต่ยังไม่รู้ชะตากรรมว่าหลังจากนี้จะเดินหน้าไปมะดีนะห์นั้นอย่างไร

เมื่อวันที่ 17 ก.ค.2566  จากกรณี ผู้แสวงบุญฮัจย์ ภาคใต้ ถูกบริษัทประกอบการฮัจย์ทิ้ง ลอยแพในประเทศซาอุดิอาราเบีย พร้อมผู้นำฮัจย์หรือแซะห์ กว่า 500 คนและ 21 คนที่ออกมาร้องขอความเป็นธรรมจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง  ล่าสุด  นายอาดัม พรภาพงาม ผู้ก่อตั้งและผู้อำนวยการ โรงเรียนฮาฟิศ อะลูกะห์ อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี ได้เดินไปหาผู้แสวงบุญกลุ่มดังกล่าว จนพบ พร้อมจัดหาที่พักโรงแรมที่อยู่ใกล้มัสยิด อัล-ฮารอม ประมาณ 200 เมตร เป็นเวลา 5 วัน ทำให้ประชาชนในสังคมรับรู้ ต่างแห่ชื่นชมความมีน้ำใจ แสดงถึงคนไทยไม่ทิ้งกัน

ขณะที่ เจ้าหน้าที่ฮัจย์ไทยในนาม อะมีรุ้ลฮัจย์ ยืนยันกับทีมสื่อว่า ปัญหาดังกล่าว รัฐและหน่วยต่างๆช่วยได้ในเบื้องต้นคืออาหาร ในส่วนของสาเหตุที่ทำให้เกิดการลอยแพนั้น เป็นเพราะ บริษัทลมละลาย พร้อมยืนยันด้วยว่า แนวทางแก้ปัญหา ในระยะยาวคือ ต้องมีการแจ้งความดำเนินคดีกับบริษัท เพราะเจ้าของบริษัทคนปัจจุบัน มีการ เปิดปิดบริษัทมาแล้วหลายครั้ง จึงต้องดำเนินคดีเพื่อแก้ปัญหาขันเด็ดขาด

นายอาดัม พรภาพงาม กล่าวว่า  พี่น้องหลายท่านได้ติดตามเรื่องของพี่น้องฮุจญาจที่ถูกทอดทิ้ง ผมเองก็ได้ติดตาม หลังจากเมื่อคืนมีพี่น้องหลายท่านส่งข่าวมาว่าพี่น้องถูกทิ้ง ก็มีความรู้สึกว่าถูกทิ้งแล้วยังไง ช่วยอะไรเขาได้บ้าง ก็มานึกถึงว่าพวกเราที่มาด้วยกัน 9 คนสายลุยอยู่แล้ว ก็เลยคิดว่าจะเสียสละห้องให้เขาอยู่ ก็เลยออกเดินทางไปตามหา ก็ไม่รู้ว่าอยุ่ไหนเหมือนกันในตอนแรก ก็มีพี่น้องส่งภาพที่เป็นโลเคชั่นให้ ก็ได้ออกไปตามหา ถามคน ถามเรื่อยไปว่า คนไทยที่ถูกทิ้งอยู่ที่ไหน ถามคนอินเดีย คนบังกลาเทศ เขาก็ไม่รู้

จนกระทั่งไปเจอคนไทยที่ทิ้ง เขาบอกว่าพวกเขาถูกทิ้ง แต่พวกเขาอดทนได้ แต่มีอยู่ประมาณ คนแก่ๆที่เขาไม่สามารถจะเดินทางไปได้ เราก็เลยขึ้นไปคุยกับเขาและบอกว่า โอเค อินชาอัลลอฮ์ เดี่ยวจะพาพี่น้องทั้งหมด 21 คนนี้ มาอยู่ที่ใกล้ๆมัสยิดฮารอม ก็เลย รับปากพี่น้อง ตอนนี้เช้าอยู่ (เวลาไทย 11.00 น.) เดียวตอนเย็นที่นี้ จะเดินทางไปรับพี่น้องแล้วมาอยู่ด้วย โรงแรมที่เราเดินหาได้ อยู่ใกล้ๆกับโรงแรมที่ผมอยู่ติดกัน ค่าห้องอยู่ที่ห้องละ 2800 ต่อวันต้องใช้ทั้งหมด 5 ห้อง รวมๆ ต้องใช้เงิน ทั้งหมด  56,000 บาท เงินจำนวนนี้เรายังพอมีที่จะให้ เพราะเรื่องเงินเดียวมันก็มีมา ใหม่ได้แต่เรื่อง คนที่มาฮัจย์ บางคนอาจจะมาได้ครั้งเดียว เขาเสียเงินมาเยอะเขาอาจจะมาได้ครั้งเดียวแต่เงิน 5หมื่นกว่าบาทเดียวก็หาใหม่ได้ ที่นี้ก็มีพี่น้องหลายคนพอทราบข่าวมาก็มีคนบริจาคมาให้ ก่อนเลย 3พันบาท

และมีอีกสองสามคนที่รวมบริจาคมาแต่ยังไม่ได้ดูยอด ว่าเท่าไหร่ ขอบคุณ ทุกคนที่มีน้ำใจอยากจะช่วยเหลือ แล้วก็อยากจะบอกเลยว่า ผมไม่ได้มีความสามารถอะไรใดๆทั้งสิน แค่คิดอยากจะช่วยเราช่วยอะไรได้ก็อยากช่วย เท่านั้นเอง อัลลอฮ์ (ซบ.) อย่างเดียวเลยขอบคุณต่อพระองค์ อย่างเดียวเลย หวังว่าพี่น้องที่เขาไม่ได้เดินทางไปมัสยิดฮารอม หลังจากนี้เขาจะได้เดินทางไปละหมาดที่ฮารอมและมีความสุขได้ละหมาดตามที่เขา ปรารถนา ก็อยากให้พี่น้องทุกคนช่วยกันดุอาร์ ให้เราทุกคนได้ฮัจย์ทาถูกตอบรับการละหมาดทุกอย่างได้ถูกตอบรับจากอัลลอฮ์ (ซบ.) และพี่น้องทุกคนที่มีหัวใจเอื้ออาทร ขอให้อัลลอฮ์ตอบรับให้พี่น้องได้มาที่นี้บ้าง

ส่วนคนที่อธรรมกับฮุจญาจ ถือเป็นเรื่องใหญ่เป็นเรื่องที่เขาจะไปตอบคำถามกับอัลลอฮ์(ซบ.) และเราหวังเหลือเกินว่า ในปีถัดไปจะต้องไม่ให้มีแบบนี้อีก ไปขอเลย สำหรับคนที่เป็นแซะห์หรืผู้นำฮัจย์ เป็นผู้ประกอบการฮัจย์หรืออุมเราะห์ก็แล้วแต่อย่าคิดเอาเปรียบพี่น้องเลย เพราะโลกดนยาเป็นโลกแห่งการทดสอบ แต่นี้มากลั่นแกล่งคนที่มาหาอัลลอฮ์(ซบ.)ด้วยขอเลย        

นายซากีย์ พิทักษ์คุมพล สมาชิกวุฒิสภา และ อะมีรุ้ลฮัจย์ เผย เรื่องนี้บริษัทมีปัญหาการเงินตั้งแต่ก่อนโควิด มีฮุจญาจ จำนวนหนึ่งตกค้างจากตอนนั้น บริษัทไม่จ่ายเงินคืนปีนั้นให้ไปปีนี้ พอไปปีนี้ ทราบว่าบริษัทเอาเงินส่วนหนึ่งไปจ่ายค่าโรงแรมไว้ตั้งแต่โควิด 6 ล้านบาท เป็นการมัดจำโรงแรม ในช่วงนั้น แด่ได้ขอเงินคืน 3 ล้าน โรงแรมก็คืนให้ คือปัญหาอยู่ที่บริษัทส่วนหนึ่ง ที่แซะห์ส่วนหนึ่งทราบว่าแซะห์บางคนจ่ายเงินยังไม่ครบติดค้างเงินบริษัท(ค่าฮัจย์ปีแล้ว) พอเป็นแบบนี้ บริษัทก็มีปัญหาอยู่แล้ว เรื่องของการเงิน พอจะบินปรากฏว่า บริษัทไม่มีเงินจ่ายค่าตั๋วเครื่องบิน พอไม่มีค่าตั๋วก็มีการเรียกเก็บ บริษัท ก็ดิ้นหาเงิน บวกกับแซะร่วมกันรวบรวมเงินเพื่อให้ได้บินก่อน จึงเดินทางบินมาในสภาพที่รู้อยู่แล้วถ้าบินมามีปัญหาแน่  
     
ปรากฎว่าพอมาถึง ก็มาอยู่บ้านปกติไม่ใช่ สัญญาโรงแรม บ้านเช่าหลังนี้(หลังที่พักจริง) กรมการปกครองเอง จึงอนุญาตให้พักด้วยเงือนไข ที่เขาแนบสัญญาโรงแรมซอฟวะห์ ที่เขาโอนมัดจำ ตอนแรก 6 ล้าน อนุโลมเพราะเห็นว่ามีสัญญานี้แนบประกบ ซึ่งบ้านนี้ก็ไม่ได้มาตรฐานตามที่กรมเขาอยากจะได้ พอเป็นแบบนี้ ก็เกิดการทำผิดสัญญา แทนที่จะไปอยู่โรงแรมซอฟวะ  คนที่จ่ายเงินไปแล้วไม่สามารถไปอยู่ซอปวะได้พอเป็นแบบนั้นก็เลยอยู่ตรงนั้นยาว


      
ตนได้เอาเงินเยียวยา ที่เป็นเงินบริจาค ฮุจญาจและ องค์กรศาสนา 6 จังหวัด สงขลา ปัตตานี ยะลา นราธิวาส สตูลและกทม. และเงินส่วนตัวผมรวม 27,000 บาท เป็นค่าอาหารได้ 2 วัน เพราะแซะห์เริ่มต้องรับผิดชอบตัวเอง ปัญหาตอนนี้คนกำลังท้วงสัญญาที่จะไปอยู่มาดีนะห์ 6 วัน ซึ่งบริษัทหมดสภาพแล้วตอนนี้ แต่แซะห์ มีปัญหา เขาไม่สามารถทำอาชีพแซะห์ได้แล้ว เพราะว่า ผิดสัญญา ปัญหามากกว่านั้น คือเงินที่จะเป็นค่าหาอาหารอยู่มาดีนะยังไม่มี เรื่องอื่นยาก จะเอาเงินไปขยายสัญญาบ้าน ก็ไม่ได้เพราะเป็นความผิดของบริษัท 
     
ปัญหากรมไม่มีช่องทางที่จะไปบังคับ บริษัทพวกนี้ที่มีปัญหา มันมีความเชียวชาญ เขาเปิดบริษัท พอมีปัญหาก็เขาก็ปิด แล้วเอาคนอื่นมา จดบริษัทใหม่เป็นนอมีนี กรมไม่สามารถรู้ได้ว่า คนนี้มาจดบริษัทให้กับใคร ปัญหาอยุ่ตรงนี้ เพราะฉะนั้นกลับมา กรมการปกครอง ต้องปิดบริษัทเขา และได้คุยกับทนายอดีลัน ให้ญาติแจ้งความดำเนินคดีใน ข้อหาช่อโกงประชาชน พอเป็นคดีอาญาเพื่อให้มีหลักฐาน มาขยับเรื่องนี้ต่อในการ 

@@@ จากกรณีข่าวผู้แสวงบุญฮัจย์จากภาคใต้ถูกลอยแพ ล่าสุดผู้สื่อข่าวได้คุยกับหนึ่งในผุ้เดือดร้อนได้ เปิดเอกสาร รายการ ค่าบริการในการเดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ ต่อ 1 คนให้ทีมข่าวได้เห็น จะมีว่า มี ค่าทำหนังสือเดินทาง 1000 บาท ค่าหนังสือรับรองศาสนา / เครือญาติ 200 บาท ค่าบัตรโดยสารเครื่องบินไป – กลับ 5,8000 บาท ค่าพาหนะ / คำบริการในประเทศชาติอาระเบีย 35,860 บาท ค่าอาหารในช่วงพิธีฮัจย์ 5,360 บาท ค่าอาหารระหว่างที่หักอยู่ในประเทศซาอุคือาระเบีย 2,5000 บาท ค่ากระเป๋าใส่สัมภาระ กระเป๋าถือและจุดประกอบพิธีฮัจย์ 1,3000 บาท ค่าเช่าที่พัก ณ เมืองมักกะห์และเมืองมะดีนะห์ 9,8000 บาท  ค่าดัม 4,000 บาท  ค่าบริการ 12,000 บาท ค่าใช้จ่ายอื่นๆ ( ระบุ ) 8,780 บาท  รวมเป็นเงินทั้งสิ้น  250,000 บาท นอกจากนี้ ยังมีการเรียกเก็บเพิ่มอีก  29,000 บาทก่อนเดินทาง รวมทั้งหมด 279,000 บาท  

ในส่วนของกำหนดการในเอกสาร ระบุว่า ระหว่างวันที่ 20 มิถุนายน ถึง 04 สิงหาคม พ.ศ. 2566 ต้นทาง เดินทาง เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2566 จาก สนามบินหาดใหญ่ สายการบินไทย ปลายทาง เจตดะห์ และ ขากลับ ต้นทางเดินทางจากสนามบินมาดินะห์ ปลายทางหาดใหญ่ วันที่ 30 กรกฎาคม 2566 แต่ยังไม่ระบุสายการบิน ขอย่ำว่า นี้คือเอกสารตอนที่คุยกันก่อนเดินทาง ในส่วนของปัจจุบัน จนถึงวันเดินทางกลับจริง ขณะนี้ ผู้แสวงบุญทั้ง 21 คนนี้ ยังไม่ทราบชะตากรรมของตัวเอง 
     
ซึ่งกำหนดการ วันแรก  20 - 25 มิถุนายน 2566เข้าที่พักโรงแรมมักกะห์ เป็นโรงแรม 3-5 ดาวหรือเทียบเท่า และวันที่  25 -26 มิถุนายน 2566 เยี่ยมชมที่ประวัติศาสตร์ มักกะห์ จำนวน 1 ครั้ง  และวันที่ 19 กรกฎาคม เดินทางจากมักกะห์ไปมาดินะห์ โรงแรม 3-5 ดาวหรือเทียบเท่า วันที่ 20 กรกฎาคม เดินทางจาก  เยี่ยมชมที่ประวัดิศาสตร์ มาดีนะห์ 1ครั้ง วันที่ 23 กรกฎาคม  ชมพิพิธภัณฑ์สถาปัดยะกรรมมัสชิด ณ เมืองมาดินะห์ และวันที่ 28 กรกฎาคม จะได้เข้าไปละหมาดในเราว์เฎาะ ท่านนบี (ซล.)(จุดฝั่งศพ ศาสดา ) 1 ครั้ง และวันที่ 29 กรกฎาคม เดินทางกลับบ้าน  แต่ในสิ่งที่ผู้แสวงบุญได้เจอจริงๆคือ ไม่ได้เป็นไปตามเอกสารเลย ในคณะที่ร่วมชะตากรรม เป็นผู้เฒ่าผู้แก่มากสุดอายุ 89 ปี ต้องนั่งวิลแชร์ไปไหนมาไหน