เร่งล่าขาใหญ่นาสักโหดเหี้ยมฆ่าคนไทย-เมียนมาดับ 4 ศพ เผาจยย.ทิ้ง ก่อนขโมยกระบะขับหนี

เร่งล่าขาใหญ่นาสักโหดเหี้ยมฆ่าคนไทย-เมียนมาดับ  4 ศพ เผาจยย.ทิ้ง ก่อนขโมยกระบะขับหนี





ad1

ชุมพร-ตำรวจเร่งไล่ล่ามือปืนขาใหญ่นาสักฆ่าโหด คนร้ายควงลูกซองจ่อยิงคนไทยและแรงงานพม่าดับกลางสวนยาง อ.สวี รวม 4 ศพ ผู้ต้องหาเคยมีเรื่องกับเพื่อนบ้านและข่มขู่ ก่อนเผา จยย. และขโมยรถกระบะขับหลบหนี 

เมื่อวันที่ 16 ก.ค. 66 ร.ต.ท.ชัยรัตน์ ชัยเดช รอง สว.สอบสวน สภ.นาสัก ได้รับแจ้งจาก นายสุรชัย สมนึก อายุ 42 ปี อยู่บ้านเลขที่ 138/1 หมู่ 19 ต.นาสัก อ.สวี จ.ชุมพร ว่านายประยงค์ สมนึก อายุ 60 ปี ซึ่งเป็นพ่อ ถูกคนร้ายใช้อาวุธปืนไม่ทราบชนิดยิงเสียชีวิตอยู่ริมถนนทางเข้าบ้าน จึงรายงานผู้บังคับบัญชาให้ได้ทราบ ก่อนรุดไปตรวจสอบพร้อม พ.ต.อ.จักรา เสาวคนธ์ ผกก.สภ.นาสัก, พ.ต.ท.พนัส หมุนวงศ์ รอง ผกก.สอบสวน สภ.นาสัก และกำลังตำรวจชุดสืบสวนสอบสวน หน่วยกู้ชีพกู้ภัยสายชลมูลนิธิชุมพร

ที่เกิดเหตุอยู่ริมเขากลางป่ายางพาราห่างจากถนนสายเอเชีย 41 ประมาณ 15 กม. ซึ่งเป็นที่กันถนนที่ใช้สัญจรเป็นลูกรัง ผ่านป่าเขาและลำห้วยหลายจุด เจ้าหน้าที่พบกับผู้แจ้งพร้อมญาติและชาวบ้านที่ทราบข่าว กำลังอยู่ล้อมดูศพอยู่เจ้าหน้าที่จึงได้กั้นพื้นที่ ก่อนทำการชันสูตรศพ นายประยงค์ สมนึก ซึ่งสภาพศพนอนหงายสวมกางเกงขาสั้นสีดำ สวมเสื้อเชิ้ตลายสก๊อต มีทางมะพร้าวปิดร่าง เสียชีวิตอยู่ริมทางใกล้ลำธาร ห่างจากบ้านผู้ตายเพียง 200 เมตร โดยสภาพถูกยิงด้วยอาวุธปืนลูกซองเข้าลำตัว ใบหน้า แขน กว่า 20 รู ตัวเริ่มแข็ง ซึ่งคาดว่าเสียชีวิตมาแล้วไม่ต่ำกว่า 10 ชม. ใกล้กันบนเชิงเขา เจ้าหน้าที่พบปลอกประสุนปืนลูกซองตกอยู่ในพงหญ้าในสวนยางพารา ห่างจากศพประมาณ 30 เมตร จำนวน 2 ปลอก จึงได้เก็บไว้เป็นหลักฐาน

สอบถาม นายสุรชัย ลูกชายผู้ตาย ให้การว่า เดิมที่ตนเองไม่ค่อยได้อยู่บ้าน เพราะออกไปทำงานรับจ้างนอกหมู่บ้าน แต่ที่กลับมาก็เพราะว่าเมื่อวานช่วงเย็นตนเองได้โทรศัพท์มาหานายประยงค์ผู้ตาย ปรากฏโทรติด แต่ไม่รับสาย ซึ่งก็ไม่ได้เอะใจมาก เพราะรู้ก่อนหน้าว่าพ่อจะมาต่อท่อน้ำไปใช้ในสวน จนกระทั่งมาช่วงเช้าได้ขับรถเพื่อมาดูพ่อ แต่ระหว่างทางสังเกตเห็นทางมะพร้าวปิดอะไรสักอย่าง จึงจอดรถดูก็พบว่าใต้ทางมะพร้าวเป็นพ่อนอนจมกองเลือดอยู่ จึงได้โทรมาบอกอา และแจ้งตำรวจให้มาตรวจสอบ

นายสุรชัย ให้การว่า ตนเองไม่ทราบว่าคนร้ายเป็นใคร เพราะพ่อไม่เคยเล่าอะไรให้ฟัง แต่ได้ยินญาติว่า พ่อกับน้าพันธ์เคยมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกัน แต่ก็นานมาแล้ว จึงไม่รู้ว่าจะใช่หรือเปล่า เพราะตนเองก็รู้จักนายพันธ์มานาน ส่วนรถยนต์ของพ่อนั้นเป็นรถยนต์กระบะตอนครึ่งสีบรอนซ์ หมายเลขทะเบียน บย 2075 ชุมพร นั้นทราบว่าคนร้ายได้เอาไปด้วย 

ด้าน นางสาวจันทร์แรม บุญจร อายุ 50 ปี อยู่บ้านเลขที่ 218/2 หมู่ 19 ต.นาสัก อ.สวี จ.ชุมพร ซึ่งเป็นน้องผู้ตาย เปิดเผยว่า ตนเองปักใจเชื่อว่าคนก่อเหตุก็คือ นายประพันธ์ นาคศิริ แน่นอน เพราะเคยมีเรื่องกับพี่ชายมาแล้วหลายครั้ง เรื่องที่เรื่องทางกัน แต่ทั้งคู่ก็กลับมาคืนดีกันแล้ว แต่อยู่ๆ ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมจึงมาเกิดเรื่องขึ้นอีก ประกอบกับนายประพันธ์มีนิสัยอันธพาล ชอบพกปืนและชอบข่มขู่แรงงานต่างด้าว จนมีแรงงานบางคนต้องหอบผ้าหอบผ่อนหนีเพราะกลัวถูกนายพันธ์ทำร้าย อีกทั้งมีประวัติติดยาเสพติดอีกด้วย และหลังก่อเหตุได้ขับรถยนต์ของพี่ชายไปด้วย

ส่วน น.ส.นงนุช ชั่งช่างเรือ อายุ 37 ปี อยู่บ้านเลขที่ 111/2 หมู่ 11 ต.นาสัก อ.สวี จ.ชุมพร ซึ่งเป็นหลานผู้ตาย ยืนยันว่าผู้ตายเป็นคนดี ไม่เคยมีเรื่องกับใคร ชอบทำงาน วันๆ ก็อยู่แต่ในสวน ส่วนคนที่ก่อเหตุนั้นตนเชื่อว่าเป็นนายประพันธ์ นาคศิริ แน่นอน เพราะเคยมีเรื่องกันมา จึงเป็นไปไม่ได้ว่าคนร้ายจะเป็นคนอื่น

ขณะที่ตำรวจกำลังชันสูตรศพนายประยงค์อยู่นั้นได้มีชาวบ้านซึ่งกำลังจะเดินทางไปตัดปาล์มน้ำมันได้โทรศัพท์แจ้งมาที่ น.ส.วันทนีย์ บุญอยู่ ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน หมู่ 19 ต.นาสัก อ.สวี จ.ชุมพร ว่าพบศพถูกเผาอยู่ระหว่างทางไปสวนของตน จึงเดินทางไปที่จุดเกิดเหตุพร้อม พ.ต.อ.จักรา เสาวคนธ์ ผกก.สภ.นาสัก เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนสอบสวน และหน่วยกู้ภัยสายชล โดยจุดรับแจ้งซึ่งอยู่ห่างจากจุดแรกเพียง 300 เมตร ซึ่งก็พบศพดังกล่าวจริงอยู่ในสภาพถูกเผาดำเป็นตอตะโก โดยมีรถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้า หมายเลขทะเบียน 1 กก 5811 ชุมพร ทับร่างอยู่ จึงประสานให้ ร.ต.ท.ชัยรัตน์ ชัยเดช รอง(สว.)สอบสวน สภ.นาสัก พร้อมตำรวจพิสูจน์หลักฐาน จ.ชุมพร รุดมาเก็บพยานหลักฐานแวดล้อมต่างๆ  

จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้เดินไปตรวจสอบที่บ้านพักคนงานซึ่งเป็นจุดที่สาม ที่ชาวบ้านที่ไปตัดปาล์มน้ำมัน แจ้งมาว่าพบคนเสียชีวิตอยู่หน้าบ้านพักแรงงานต่างด้าว โดยบ้านพักดังกล่าวเป็นจุดที่สามที่ได้รับแจ้งห่างจากจุดที่พบศพจุดที่ 2 ถูกเผาประมาณ 300 เมตร เป็นบ้านพักชั้นเดียว ปลูกอยู่กลางสวนยางพารา พบผู้เสียชีวิตสภาพถูกยิงด้วยอาวุธปืนลูกซองเข้าบริเวณท้ายทอยด้านซ้าย กระสุนทะลุแก้ม นอนเสียชีวิตอยู่บนเตียงหน้าบ้าน นอกจากนี้ยังพบผู้เสียชีวิตอีก 1 ศพ สภาพถูกยิงด้วยอาวุธปืนลูกซองเข้าที่ท้ายทอยเช่นเดียวกัน นอนเสียอยู่ภายในห้องนอน

สอบถาม นายบุญเลิศ สายไตร อายุ 59 ปี อยู่บ้านเลขที่ 30/4 หมู่ 2 ต.นาสัก อ.สวี จ.ชุมพร ซึ่งเป็นเจ้าของสวนยางพาราและเป็นนายจ้างของคนตายทั้งสองศพ ทราบว่าเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาตนเองเพิ่งเข้ามาเอายางในสวนไปขายในตลาด ซึ่งทั้งสองคนยังอยู่ปกติ จนมาเมื่อเช้าหลังทราบข่าวก็เดินทางมาดูก็พบว่าลูกน้องของตนเสียชีวิตแล้วทั้งสองคน โดยผู้ที่เสียชีวิตอยู่หน้าบ้านนั้นชื่อ นายน้อง อายุ 34 ปี ส่วนผู้เสียชีวิตภายในห้องชื่อ นายนาย อายุ 51 ปี โดยนายนายนั้นมีสุขภาพไม่ค่อยดี แต่ก็ยังทำงานได้ และอยู่กับตนมานานแล้ว

ต่อมา น.ส.มะลิวรรณ หญีตนาคราม อายุ 44 ปี อยู่บ้านเลขที่ 232 ม.19 ต.นาสัก อ.สวี จ.ชุมพร ได้แจ้งว่าตอนนี้ครอบครัวสามพ่อแม่ลูกปลอดภัยแล้ว โดยทั้งสามได้หลบหนีไปอาศัยอยู่กับญาติด้านนอกแล้ว ซึ่งตนเองไม่อยากคิดเลยว่าหากทั้งสามไม่หนีไปก่อนหน้าจะกลายเป็นศพด้วยหรือเปล่า เพราะทางนายพันธ์ได้มาข่อขู่ไว้เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา และทั้งสามได้เอาเรื่องนี้ไปบอกคุณครูของลูกสาว และทางคุณครูได้แนะนำให้ออกมาจากพื้นที่มาก่อน

ด้าน พ.ต.อ.จักรา เสาวคนธ์ ผกก.สภ.นาสัก เปิดเผยว่า คดีดังกล่าวเกิดขึ้นหลายจุด มีคนตาย 4 ศพ ดูซ้ำซ้อนพอประมาณ แต่น่าจะเป็นไปได้ว่าเป็นบุคคลคนเดียวที่ก่อเหตุนี้ขึ้นมา แต่ทั้งนี้ก็ต้องรวบรวมพยานหลักฐานก่อนจึงจะสามารถสรุปได้ว่าคนร้ายรายนี้เป็นใคร และเป็นคนเดียวกันหรือไม่ จึงขอเวลาสักนิด

ขณะที่ ผกก.สภ.นาสัก ได้สั่งการให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจค้นประวัติ นายประพันธ์ นาคศิริ ที่คาดว่าจะเป็นผู้ก่อเหตุ ตามพยานบุคคล เพื่อส่งให้กับทาง สภ.ต่างๆ ได้เฝ้าสกัดจับตัว ซึ่งคาดว่าเป็นผู้ที่ขับรถของ นายประยงค์ สมนึก คนตายไปด้วย.