พี่สาวโทรจากเมืองนอกร้องสื่อช่วยประสานตร.จับกุมน้องชายคลั่งยาไล่แทงแม่กับยาย

พี่สาวโทรจากเมืองนอกร้องสื่อช่วยประสานตร.จับกุมน้องชายคลั่งยาไล่แทงแม่กับยาย





ad1

ขอนแก่น-พี่สาวอยู่ต่างประเทศ ร้องผ่านสื่อขอความช่วยเหลือ น้องชายติดยาเสพติดใช้มีดไล่แทงแม่กับยายต้องหนีตายหลายครั้ง พร้อมถูกขู่ขอเงินไปซื้อยาบ้ามาเสพ ต้องจำใจให้เพื่อความปลอดภัย ล่าสุด ยายผู้ก่อเหตุกลั้นน้ำตาเปิดใจ ไม่คิดว่าหลานชายจะหายกลับเป็นคนเดิม เพราะก่อนไปยังอาฆาตขู่ฆ่าบอกได้บัตรคนบ้าฆ่าคนไม่ผิด

เมื่อเวลา 08.30 น. วันที่ 11 ก.ค.2565 ผู้สื่อข่าวรายงานว่าโลกโซเชียลมีเดียและเพจต่างๆ ทั่วทั้ง จ.ขอนแก่น ได้เผยแพร่ภาพ จากผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ “ชุมชนข่าวขอนแก่น” ที่ได้โพสต์ภาพข้อความของหญิงรายหนึ่งซึ่งทำงานอยู่ต่างประเทศ ขอความช่วยเหลือมาทางสื่อมวลชน เนื่องจากน้องชายแท้ๆติดยาเสพติดหนัก ถึงขั้นขู่ฆ่ายายและแม่ เอามีดปลายแหลมไล่แทงคนในครอบครัวภายในบ้านจนต้องหนีตายออกมาขอความช่วยเหลือ พร้อมส่งคลิปจากกล้องวงจรปิดที่อยู่ในบ้านที่บันทึกเหตุการณ์เอาไว้ โดยในคลิปเป็นเหตุการณ์ที่ชายคนหนึ่งระบุว่าเป็นน้องชายของหญิงที่ทำงานต่างประเทศคนนี้ กำลังโวยวายอาละวาดปาข้าวของใส่บ้านข้างเคียงทั้งสองฝั่ง พร้อมทั้งตะโกท้าทายใครบางคนให้มาหา นอกจากนี้ยังมีคลิปจังหวะที่น้องชายทาสยาเสพติดรายนี้ตะคอกขอเงินจากแม่และยายที่กำลังเตรียมร้านอาหารจนจำใจต้องให้ไปเพราะกลัวจะเกิดอันตราย 

ทั้งนี้ในข้อความแชทที่โพสต์นั้นหญิงรายดังกล่าวได้เล่าเหตุการณ์ให้ฟังว่า “ตนเองเป็นคนบ้านโนนงิ้ว ตำบลหัวหนอง อำเภอบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น อยากร้องทุกข์กับสื่อ โดยน้องชายของตนเองเสพยาบ้าและอาละวาดทุบทำลายข้าวของในบ้าน ถือมีดวิ่งไล่จะฆ่าแม่ฆ่าหลาน จนต้องไปขออาศัยหลับนอนอยู่บ้านคนอื่น วันดีคืนดีก็หูแว่วว่ามีคนข้างบ้านพูดด่าตัวเอง โยนมีดโยนขวดไปใส่บ้านเขา แจ้งตำรวจมาระงับเหตุ อยากให้เอาไปบำบัดก็ไม่มีใครเหลียวแลเลยค่ะ ตำรวจก็บอกเหตุยังไม่เกิด ยังจับไม่ได้ ต้องให้เขาทำร้ายคน ให้เขาฆ่าคนตายก่อนถึงจะจับได้ ซึ่งภายหลังพี่สาวร้องเรียนไปยังผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดขอนแก่น จึงได้สั่งการให้ทาง ผกก.สภ.บ้านไผ่พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบและดำเนินการควบคุมตัวมาสงบสติอารมณ์

ซึ่งขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจมาถึงที่บ้านนั้น อาการคลุ้มคลั่งสงบแล้ว  และนอนหลับในห้องนอน  เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงปลุกให้ตื่นและเชิญตัวไปสอบสวน และตรวจร่างกายที่รพ.บ้านไผ่ ก่อนส่งตัวเข้าสู่ขบวนการรักษาผู้ป่วยทางจิตเวชซึ่งนายเอยอมรับว่า ก่อเหตุจริง  แต่ในเบื้องต้นมีอาการสงบ และยินยอมให้เจ้าหน้าที่ตำรวจพาตัวไปพบแพทย์ เพื่อเข้าสู่ขบวนการรักษาทางจิตเวช  ซึ่งขณะนี้การตรวจร่างกายผ่านไปด้วยดี และอยู่ระหว่างการส่งตัวเข้ารักษาที่ รพ.จิตเวชราชนครินทร์  ซึ่งก็หวังว่าเมื่อเสร็จสิ้นขั้นตอนการรักษา นายเอกลับมาอยู่บ้าน จะกินยาตามแพทย์สั่ง และไม่หวนคืนไปยุ่งกับสารเสพติดอีก

ในเวลาต่อมาผู้สื่อข่าวได้คลิปวงจรปิดหน้าบ้านซึ่งเป็นเหตุกรณ์เมื่อวันที่ 25 พ.ค.2565 ขณะที่ ตำรวจสภ.บ้านไผ่ เข้าควบคุมตัวนายเอ หลังจากที่แม่ของนายเอโทรแจ้งตำรวจ สภ.บ้านไผ่ ว่าลูกชายอาละวาดในบ้าน เมื่อตำรวจมานายเอก็บอกตำรวจว่าไม่ได้เป็นอะไร และพูดท่าทางมีสติ คุยกับตำรวจรู้เรื่องทุกคำ โดยตำรวจถามนายเอว่าเป็นอะไรกัน นายเอบอกว่าทะเลาะกับภรรยา ที่อยู่ จ.ชัยภูมิ และยังบอกอีกว่าเสพยาบ้าด้วย ตำรวจจึงถามแม่ว่าจะให้ทำอย่างไร โดยแม่บอกว่าให้เอาตัวไปบำบัด อยากให้หาย ในขณะที่ตำรวจคุมตัวนายเออยู่หน้าบ้านนั้น นายเอบอกว่าติดยาบ้ารักษาไม่หาย ถ้าจะฆ่าคนมันก็ฆ่าเหมือนเดิม ตำรวจก็พยายามเกลี้ยกล่อมให้ใจเย็นลงอย่าใช้อารมณ์ ก่อนจะเดินทางกลับ โดยไม่ได้จับตัวไป และบอกแม่ว่าไม่เป็นอะไร ไม่น่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่ดีขึ้นแค่ไม่ไปกวนลูกชายก็พอ

ขณะเดียวกัน ผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่ไปที่บ้านเลขที่ 43 ม.2 บ้านโนนงิ้ว ต.หัวหนอง อ.บ้านไผ่ จ.ขอนแก่น ซึ่งเป็นบ้านหลังเกิดเหตุที่นาย เอ อายุ 29 ปี อาละวาดทำลายข้าวของ โดยได้พบกับนางสมภาร แถวนาคำ อายุ 74 ปี ยายของนายเอ ซึ่งอาศัยอยู่ด้วยกันและอาศัยอยู่รวมกันทั้งหมด 5 คน มียายนายเอ แม่นายเอ ลูกชายนายเอ และหลานนายเอซึ่งเป็นลูกของพี่สาวนายเอที่ทำงานอยู่ต่างประเทศและเป็นคนร้องเรียนมายังสื่อมวลชน

 โดยนางสมภาร ยายของนายเอพาผู้สื่อข่าวเดินสำรวจภายในห้องนอนของพี่สาวนายเอ ซึ่งนายเอมักจะมาอาศัยอยู่และทำลายข้าวของในห้องนอนพี่สาวเป็นประจำ และจะนอนในห้องพี่สาวไม่นอนในห้องนอนตัวเองที่อยู่ข้างกัน หลังจากเลิกรากับแฟนสาวไปเมื่อหลายปีก่อน ซึ่งภายในห้องนอนของพี่สาวนายเอนั้นมีเศษซากกระจกตู้เสื้อผ้าหลุดแตกกระจายเต็มพื้น และซากโทรศัพท์มือถือถูกนายเอทุบทำลาย

นางสมภาร กล่าวว่า นายเอหลานชาย อาศัยอยู่ที่บ้านวันๆไม่ทำอะไร ขอเงินแม่กับขอเงินยายอย่างเดียว ส่วนพี่สาวก็ไปทำงานอยู่ที่ต่างประเทศ เป็นเสาหลักดูแลทุกคนในครอบครัวส่งเงินมาให้ครอบครัวใช้ทุกเดือน หลานชายเริ่มอาการหนักขึ้นเรื่อยๆตั้งแต่ปีที่แล้วจนมาปีนี้รุนแรงถึงขั้นสร้างความหวาดกลัวให้กับคนในบ้านอย่างมาก ต้องอยู่กันอย่างหวาดระแวง กลัวว่าหลานชายจะก่อเหตุทำร้ายคนในบ้าน

"วันที่ 8 ก.ค.ตำรวจมาเอาตัวหลานชายครั้งแรกไม่มีท่าทีจะสำนึกผิดกับสิ่งที่เกิดขึ้น ทั้งยังบอกทิ้งท้ายก่อนถูกจับว่า จะขับรถยนต์คันสีขาวของบ้านคันนี้ไปหาขายที่ประเทศลาว แล้วจะซื้อปืนมาฆ่าทุกคนให้ตายให้หมด ซึ่งก่อนที่ตำรวจจะมาเอาตัวหลานไปครั้งแรกนั้น หลานออกจากบ้านไปกลับมาก่อนถูกจับ 4 วัน มานอนอยู่แต่ในห้องไม่ยอมกินข้าวกินปลา แม่ทำไว้ให้หน้าห้องก็ไม่กินสักคำ ก่อนจะอาละวาดจนตำรวจมาที่บ้านแต่มาถึงหลานก็ไม่มีอาการคลุ้มคลั่งแล้ว แต่ขู่อาฆาตยายกับแม่เอาไว้ว่าจะฆ่าให้ตาย พอตำรวจกลับไปทุกคนก็ต้องไปอาศัยบ้านญาติที่อยู่ติดกันเพื่อความปลอดภัยให้หลานสงบลง จึงกลับเข้าไปอยู่ในบ้านอีก กระทั่งมาเกิดเหตุเผาที่นอนและไล่แทงคนในบ้าน โยนข้าวของเครื่องใช้เสียหายเสียงดัง ไม่พอใจก็จับข้าวของไปโยน ทำลายข้าวของ ยายออกไม่ได้ก็ทำได้แค่ล็อกห้องอยู่ในห้องนอน เมื่อวันที่ 9 ก.ค. และเช้าวันที่ 10 ก.ค.ตำรวจก็มาเอาตัวไปส่งโรงพยาบาลจิตเวช แต่ก็ยังกังวลเพราะก่อนที่ตำรวจจะเอาตัวไปล่าสุด หลานชายขู่เอาไว้อีกว่า ตนเองจะได้ทำบัตรบ้าให้ตนเองแล้ว ฆ่าคนก็ไม่ผิดกฎหมาย"

นางสมภาร กล่าวต่ออีกว่า  ไม่คิดว่าหลานจะรับการรักษาแล้วหายได้ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไง ก็คงต้องปล่อยให้เจ้าหน้าที่จัดการ ซึ่งก็ขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกๆส่วนที่ช่วยเหลือครอบครัว ตอนนี้ห่วงหลานสาวที่ทำงานอยู่ต่างประเทศ หลานสาวถือเป็นเสาหลักของครอบครัวของเรา เงินทุกบาทหลานสาวหาเงินมาสร้างบ้านให้ทุกคนได้อยู่อาศัย แต่น้องชายก็มาทำลายสิ่งที่พี่สาวทำไว้ให้ ความรู้สึกหลานสาวตอนนี้ก็น่าเป็นห่วงคงจะนอนไม่หลับคิดเรื่องน้องชายคิดเรื่องคนในครอบครัวจะเป็นอันตราย หากจะพูดจากใจแม้หลานชายตายก็ไม่เสียดาย สงสารหลานสาวเสาหลักครอบครัวมากกว่าที่ต้องรับภาระปัญหาทุกอย่างของคนในบ้านทั้งยาย แม่ หน้อง ลูก หลาน และยังมีน้าพิการอีก

" เริ่มแรกที่หลานชายทำร้ายตนเองนั้น หลานชายพาผู้หญิงเข้ามานอนที่บ้าน เป็นผู้หญิงอยู่ร้านคาราโอเกะ ตนเองด้วยความเป็นห่วงว่าจะเกิดเรื่องเสียหายขึ้น ก็สอบถามตามปกติที่ผู้ใหญ่เป็นห่วงลูกหลาน ถามไปว่าพาลูกเขามา พ่อแม่เขารู้ไหม ซึ่งก็ถามปกติตามประสาคนทั่วไป เผื่อมีอะไรเกิดขึ้นก็จะสร้างความวุ่นวายให้กับครอบครัวเรา ตนเองก็คนโบราณก็ถามดีๆ พอถามจบหลานชายก็ลุกขึ้นจะทำร้ายยาย วิ่งไล่ยายยายก็วิ่งหนีทั้งที่เดินเหินลำบาก หลานๆเห็นก็มาพยุงยายวิ่งไปขอความช่วยเหลือกับผู้ใหญ่บ้าน ตนเองทั้งร้องไห้ทั้งปวดใจ ถึงบ้านผู้ใหญ่บ้านถามหลานว่าจะเอายังไงกับยาย จะได้โทรหาตำรวจเดี๋ยวนี้ พอหลานได้ยินตนเองพูดแบบนั้นก็พาผู้หญิงขับรถออกจากบ้านไป ซึงตลอดเวลาที่อยู่บ้านก็มีแต่อาละวาดทำลายข้าวของ เอาเงินที่แม่กับยายค้าขายไป มีเท่าไหร่ก็เอาไปหมดทุกบาท แล้วการค้าขายตามบ้านนอกก็ไม่ได้เยอะขนาดนั้น ที่เอาไปเอาไปทุกวัน ไม่มีเงินก็ต้องหามาให้ได้ ไปหยิบยืมคนอื่นๆมาให้เพราะกลัวว่าจะได้รับอันตราย ทุกวันที่เอาเงินไปก็กลับมาหมดทุกวันไม่รู้ว่าเอาเงินไปทำอะไร หลานไม่เคยบอกว่าเอาเงินไปซื้อยาเสพติดยาบ้า แต่เท่าที่ดูพฤติกรรมก็คงคิดไปในทางนั้นได้อย่างเดียว"

นางสมภาร กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า  ก่อนที่หลานสาวจะร้องเรียนไป เมื่อวันที่ 8 ก.ค.2565 ที่ผ่านมา หลานชายเผาที่นอนอยู่ในบ้าน ทำลายข้าวของกระจกตู้เสื้อผ้าแตกเสียงดัง ทุบทำลายโทรศัพท์ที่พี่สาวซื้อส่งมาให้จากต่างประเทศพังเสียหายไป 5-6เครื่องแล้ว กล้องวงจรปิดตอนนี้ก็ใช้ไม่ได้เพราะหลานชายทุบทำลายอินเตอร์เน็ตทิ้งหมด ซึ่งวันที่เผานั้น ก่อนเกิดเหตุเผาหลานชายพาตนเองไปพบหมอที่โรงพยาบาลขอนแก่นตามหมอนัด ก็แวะเติมน้ำมันตนเองก็ให้เงินไป 200 บาท พอเติมเสร็จตนเองคิดว่าเติมอีกให้เป็น 1,000 บาท จะได้ไม่ต้องเติมบ่อยๆ แต่หลานเติมเพิ่มอีก 500 บาทและเก็บไว้อีก 500 บาท กลับมาก็ดีดีไม่มีทะเลาะกันระหว่างทาง ไม่รู้ว่าทำไมจึงเผาที่นอน หลานชายกลับมาถึงบ้านก็เข้าบ้านไปอยู่ในห้องนอน แม่ของหลานชายก็ไปถามว่าไปทำอะไรมา กลับมาทำไมเป็นหงุดหงิด หลานก็บอกว่าไปเล่นกับเพื่อนแล้วทะเลาะกันก่อนจะปิดประตูล็อคห้องเผาที่นอนคืนวันที่ 9 ก.ค.และเช้าวันที่ 10 ก.ค.ตำรวจมาเอาตัวไปดังกล่าว