11 ธ.ค. 2565 นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมือง ได้โพสข้อความถึงการทำงานของเจ้าหน้าที่ต่อกรณี "ตู้ห่าว" ที่ตั้งข้อหา "ยาเสพติด" แต่ไม่ได้ตั้งขอหา "ฟอกเงิน" ส่งผลให้ทาง "พัชรินทร์" ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับนายตู้ห่าว รอดพ้นคดีสบคมกันฟอกเงินไปด้วย นายชูวิทย์จึงได้ขอเข้าพบ อสส. ซึ่งไม่ได้ให้เข้าพบ โดยส่ง รองอสส.มาคุยด้วย ซึ่งทางนายชูวิทย์ได้ยื่นเรื่องว่าควรตั้งเป็นคดีนอกราชอาณาจักร
รายละเอียดที่นายชูวิทย์ ได้บอกเล่ามีดังนี้ว่า
วิ่ง สู้ ฟัด
.
ตำรวจทำคดี “ตู้ห่าว” ตั้งข้อหาเกี่ยวกับยาเสพติด แต่ไร้ข้อหา “ฟอกเงิน”
.
ทั้งที่ยาเสพติดเป็น “ความผิดมูลฐาน” ของการฟอกเงินโดยอัตโนมัติ
.
แม้แต่เด็กเรียนกฎหมายปี 2 ยังรู้
.
แต่ตำรวจคงงานยุ่ง ลืมข้อหานี้ไป
.
เมื่อตำรวจไม่แจ้งข้อหาฟอกเงินนายตู้ห่าว ทำให้ “พัชรินทร์” และพรรคพวกที่เป็นตัวแทนของตู้ห่าวไม่ถูกตั้งข้อหา “สมคบกันฟอกเงิน” ไปด้วย
.
เดินเชิดหน้าพร้อมทีมทนายเข้าออกพบตำรวจทีมรองโจ๊กอย่างชิลๆ ในฐานะ “พยาน”
.
ทั้งๆ ที่โอนเงินอินุงตุงนังพัวพันกันไปมาในบัญชี เป็นตัวแทนให้ตู้ห่าวมีหลักฐานเห็นกันจะๆ
.
ถึงแม้ว่าตู้ห่าวจะหลุดคดียาเสพติด แต่หากชี้แจงที่มาของทรัพย์สินไม่ได้ กฎหมายให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่ามาจากยาเสพติด
.
เพราะแค่ระยะเวลา 10 กว่าปี มีทรัพย์สินถึงหลายพันล้านได้อย่างไร ถ้าชี้แจงไม่ได้ ต้องตกเป็นของแผ่นดิน
.
หากมีใครไปถามตำรวจว่า ทำไมไม่ตั้งข้อหา “ฟอกเงิน”?
.
คงตอบว่ากำลังดำเนินการรวบรวมพยานหลักฐานอยู่ จะไปรีบไม่ได้ เพราะทรัพย์สินมาก เดี๋ยวเสียรูปคดีหมด เป็นความลับในสำนวน ห้ามเปิดเผย
.
ขอให้เดาเอาแล้วกันว่า ระหว่างตำรวจกับอัยการ จะไว้ใจใครได้?
.
ผมจึงต้อง “วิ่งสู้ฟัด” ทั้งๆ ที่ไม่ได้เป็นหน้าที่ผมเลยสักนิด
.
แต่เพื่อให้ “สังคม” รู้เท่าทัน จำเป็นต้องพูดเป็นตัวอย่างไม่ให้เกิดเรื่องเก่าซ้ำแล้วซ้ำเล่า
.
ถุงขนมรั่วหล่นระหว่างทาง
.
อย่าไปคิดหวังรางวัล 5% หากได้จะยกให้โรงพยาบาลทั้งหมด ไม่เก็บไว้แม้แต่บาทเดียว จำคำพูดผมไว้
.
คดีนี้มองได้ว่ามันแพ้ตั้งแต่ “รำมวย” เพราะไม่แจ้งข้อหา” ฟอกเงิน” นี่เอง
.
ส่วนเหตุของความไม่ไว้วางใจ เพราะ
.
ลำดับแรก เมื่อเกิดเหตุ ตำรวจนครบาลตั้งใจไปจับบ่อนอย่างเงียบๆ เพราะไม่เรียกสื่อไปด้วยสักคน
.
แต่กลับไม่พบบ่อน เพราะย้ายโต๊ะหนีไปก่อนเพียง 1 วัน พบคนจีนกว่า 200 คน เสพยากันเพลิน
.
จีนเจ้าของร้านไม่ตกใจ คิดว่า “อั๊วเคลียร์ได้” แต่มีตำรวจน้ำดีไม่เอาด้วย เพราะยามาก เลยรีบกดคลิปส่งให้สื่อก่อน
.
งานนี้เลยเคลียร์ไม่ได้ ตรวจฉี่ที่เกิดเหตุพบฉี่ม่วง 160 คน
.
แต่ภาพกล้องวงจรปิดในร้านถูกลบออกหมด
.
อันนี้ไม่น่าไว้ใจ ครั้งที่ 1
.
ลำดับที่ 2 เจ้าของพื้นที่ สน.ยานนาวา ตรวจฉี่ผู้ต้องหาที่โรงพัก พบฉี่ม่วงเหลือเพียง 60 คน
.
แถมปล่อยผู้ต้องหาคนสำคัญ หลานนายตู้ห่าว เดินออกไปพร้อมรถหรูของกลางอีก 4 คัน สบายใจเฉิบ
.
บิ๊กโจ๊กโอนสำนวนมาคุมเอง หมายจับตู้ห่าวกว่าจะออกดองไว้เกือบเดือน จนผมไปยื่นร้องที่กระทรวงยุติธรรม
.
วันรุ่งขึ้น ถึงออกหมายจับ
.
จนถึงบัดนี้สำนวนไป 90% แต่ยังไม่มีข้อหา “ฟอกเงิน”
.
ที่สำคัญ ขณะนี้เหลือผู้ต้องหาฉี่ม่วงในผับจินหลิงอยู่เพียง 6 คน
.
สู้กับคนรวยมันลำบากอย่างนี้นี่เอง
.
มงกุฎสุดยอดทรัพย์สินของตู้ห่าว คือ โรงแรม ขนาด 380 ห้อง พร้อมที่ดิน มูลค่ามหาศาล เพิ่งโดนชุด “พาลีปราบยา” ของรัฐมนตรีสมศักดิ์ เทพสุทิน เจ้ากระทรวงยุติธรรมไปอายัดสดๆ ร้อนๆ วันนี้
.
แต่ต้องบอกว่า แค่อายัดไว้ชั่วคราว
.
เมื่อพบกับสถานการณ์แบบที่ว่านี้ เป็นเหตุให้ผมต้องไปขอพบอัยการสูงสุดแต่เช้า เพราะถือว่า เป็น “ทนายแผ่นดิน” ผมเป็น “พลเมืองคนไทย” ย่อมมีสิทธิ์เข้าพบ
.
แต่ผมได้แค่เฝ้าหน้าลิฟต์ ไม่ได้ขึ้น เพราะเจ้าหน้าที่บอกว่าท่านไม่ว่างพบ จะให้ผมไปยื่นเรื่องกับโฆษกฯ ถ่ายรูปแล้วเผ่น คงไม่ใช่แล้ว
.
จนรองอัยการสูงสุดถึง 2 ท่าน มาพบ
.
ผมร้องว่า คดีนี้สมควรเป็น “คดีนอกราชอาณาจักร”
.
เหตุเพราะ มียาเสพติดนำเข้ามาจากจีน มีตราประทับภาษาจีนชัดเจน มีคนแปลงสัญชาติไทยเป็นหัวหน้าขบวนการ มีเครือข่ายเป็นชาวจีนเดินทางเข้าออกประเทศอยู่เป็นประจำ และเงินทุนโอนมาจากต่างประเทศด้วย
.
จึงสมควรเป็นคดีนอกราชอาณาจักร และเป็นอาชญากรรมข้ามชาติ
.
ข่าวหนาหูมาว่า “ยอมเสียแขนขวาดีกว่าเสียชีวิต”
.
เสียเงิน 500 ล้าน ดีกว่าเสียทรัพย์สิน 5,000 ล้าน
.
สงครามยังไม่จบ แม้จะเคลียร์กันหมด สามัคคีชุมนุมกันเรียบร้อย
.
แต่ยังเหลือผมที่ “วิ่งสู้ฟัด” อยู่อย่างเดียวดาย