ศาลฎีกายืนจำคุกนายกแกะพระสมุทรเจดีย์ 1 ปี ไม่รอลงอาญา

ศาลฎีกายืนจำคุกนายกแกะพระสมุทรเจดีย์ 1 ปี ไม่รอลงอาญา





ad1

ศาลจังหวัดสมุทรปราการอ่านคำพิพากษาคดีหมายดำที่ อ.1618/2562 คดีหมายเลขแดงที่ 60/2564 ระหว่าง นาย ประวิณวิทย์ กาญจนพันธ์ โจกท์ ยื่นฟ้องนาย ยงยุทธ (นายก แกะ) พึ่งชื่น นายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลพระสมุทรเจดีย์ อ.พระสมุทรเจดีย์ จ.สมุทรปราการ จำเลย ในข้อหาหรือฐานความฟ้องเท็จ เบิกความเท็จ ศาลไต่สวนแล้วมีคำสั่งรับเฉพาะในข้อหาหรือฐานความผิดฟ้องเท็จ โดยจำเลยให้การปฏิเสธ ซึ่งศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้องลงโทษจำคุก 1 ปี ไม่รอลงอาญา จำเลยได้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน และศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่าข้อความตัดสินไม่เป็นปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลสูงสุดจึงไม่อนุญาตให้ฎีกา

จำเลยยังไม่เห็นพ้องด้วยกับคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 1 จึงได้ฎีกาโต้แย้งคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 1 ในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งจำเตยเห็นว่า ข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่า การที่จำเลยฟ้องโจทก์ว่าโจทก์ก็กระทำความผิดอาญาฐานแจ้งดวามเท็จโดยบรรยายฟ้องว่า จำเลยไม่เคยฝ่าฝืนกฎหมายหรือระเบียบของทางราชการ ที่โจทก์อ้างว่าจำเลยนำรถยนต์ส่วนกลางไปครอบครองไม่เป็นความจริง ถือว่าโจทก์ใส่ความจำเตยว่ามีเจตนาทุจริตต่อหน้าที่ อาจทำให้จำเลยต้องรับโทษทางอาญานั้น

 เมื่อข้อเท็จรับฟังได้ว่าสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินจังหวัดสมุทรปราการตรวจสอบพบว่าช่วงปี 2554 จำเลยนำรถยนต์หมายเลขทะเบียน ก จ 8911 สมุทรปราการซึ่งเป็นรถส่วนกลางไปใช้โดยไม่มีเหตุจำเป็น ฝ่าฝืนต่อระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการใช้รถและรักษารถยนต์ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ.2548 จึงส่งเรื่องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติดำเนินการแสวงหาข้อเท็จจริงเบื้องต้นพบว่ามีมูลการกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ จึงส่งเรื่องให้ผู้บังคับบัญชาของจำเลยพิจารณาว่าการกระทำของจำเลยผิดวินัยหรือไม่และส่งเรื่องให้พนักงานสอบสวนสถานีตำรวงพระสมุทรเจดีย์ดำเนินการสอบสวนว่ามีความผิดทางอาญาหรือไม่ 

แม้ปัจจุบันยังไม่เป็นที่สิ้นสุดว่าจำเลยมีความผิดทางวินัยหรือไม่ หรือไม่เป็นที่แน่ชัดว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดใดก็ตาม แต่ก็ฟังได้ว่าเรื่องที่โจทก์อ้างในคำร้องขอโอนย้ายเป็นเรื่องจริง มิใช่ความเท็จพยานหลักฐานจำเลยซึ่งมีจำเลยและนาย นภดล เบิกความในทำนองเดียวกันปฏิเสธว่า จำเลยมิได้นำรถส่วนกลางไปใช้ส่วนตัว มีลักษณะเป็นผู้ร่วมกระทำความผิดด้วยกันเบิกความช่วยเหถือกันและไม่มีพยานหลักฐานอื่นสนับสนุนให้รับฟังได้ว่า จำเลยมิได้กระทำการตามที่สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินจังหวัดสมุทรปราการตรวจพบ พยานหลักฐานจำเลยไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่ จะหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ ดังนั้นการที่จำเลยรู้อยู่ว่าเรื่องที่โจทก์อ้างในคำร้องขอโอนย้ายเป็นเรื่องจริง ยังนำเอาความดังกล่าวไปฟ้องว่าโจทก์แจ้งความเท็จแก่เจ้าพนักงานซึ่งอาจทำให้โจทก์เสียหาย

 การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานฟ้องเท็จตามดำพิพากษาของศาลชั้นต้น อุทธร์ของจำเลย ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น นั้นจำเลยได้ยื่นฎีกาโต้แย้งคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไว้แล้วว่าการที่จำเลยยื่นฟ้องโจทก์นั้น เป็นการยื่นฟ้องตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏอยู่ในเอกสาร ที่โจทก์ได้ให้การต่อคณะกรรมการการโยกย้ายอีกทั้ง ข้อเท็จจริงที่นำมาเป็นข้ออ้างในคำฟ้องนั้นมีกรณีของการใช้รถยนต์ส่วนกลางมาครอบครองเช่นรถประจำตำแหน่งหรือใช้ส่วนตัว กรณีอ้างว่าจำเลยแต่งผู้ที่เสียสิทธิทางการเมืองมาดำรงตำแหน่งเลขานุการซึ่งเป็นการผิดระเบียบและกรณีความปลอดภัยของตัวโจทก์หากยังคงปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่เทศบาลตำบลพระสมุทรเจดีย์แต่โจทก์ยกเอาแต่เฉพาะกรณีการใช้รถส่วนกลางมาครอบครองใช้อย่างรถส่วนตัวเป็นข้ออ้างในคำฟ้องและนำสืบเท่านั้น หาได้นำประเด็นการแต่งตั้ง และความปลอดภัย มาเป็นข้ออ้างด้วยไม่ จึงเห็นว่ายกเอามาแต่ส่วนที่เป็นประโยชน์กับตนเท่านั้น

 กอปรกับศาลอุทธรณ์ภาค 1 เองก็ยอมรับว่าไม่ว่ากรณีการใช้รถยนต์ผิดระเบียบซึ่งจะเป็นความผิดวินัยหรือไม่ก็ดีหรือคดีอยู่ระหว่างส่งเรื่องให้พนักงานสอบสวน สถานีตำรวจภูธรพระสมุทรเจดีย์สอบสวนอยู่ก็ดีคดียังไม่ถึงที่สุดแต่ศาลกลับวินิจฉัยเสียแล้วว่าจำเลยทราบดีว่าข้อเท็จจริงที่โจทก์อ้างในการขอย้ายนั้นเป็นความจริง มิใช่ความเท็จซึ่งจำเลย เห็นว่าไม่น่าที่จะถูกต้องเพราะหากผู้บังคับบัญชา ของจำเลยเห็นว่าไม่เป็นความผิดก็ดีหรือเมื่อดำเนินคดีอาญาไปแล้วจำเลยมิได้กระทำความผิด ก็ดีก็จะทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย อีกทั้งข้ออ้างในคำฟ้องของจำเลยที่ได้ยื่นฟ้องโจทก์ต่อศาลแขวงสมุทรปราการนั้นก็จะเป็นเรื่องจริง มิใช่ความเท็จ