ฟ้องกันนัว! อัยการสั่งสอบเพิ่ม คดีอดีตรองนายกฯฟ้องครอบครัว "ผัว-เมีย" ร่วมฉ้อโกง

อัยการสั่งสอบเพิ่ม คดีอดีตรองนายกฯฟ้องครอบครัว "ผัว-เมีย" ร่วมฉ้อโกง

ฟ้องกันนัว!  อัยการสั่งสอบเพิ่ม คดีอดีตรองนายกฯฟ้องครอบครัว "ผัว-เมีย" ร่วมฉ้อโกง





ad1

12 ม.ค. 2566  ทนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ พาผู้เสียหายซึ่งเป็นอดีตสามีของหญิงสาวคนสนิทอดีตรองนายกฯ เข้าพบพนักงานสอบสวน สน.บางยี่ขัน เพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับอดีตรองนายกรัฐมนตรี ในข้อหาแจ้งความเท็จ กลั่นแกล้งให้ได้รับโทษทางอาญา และให้การเท็จ

นายษิทรา กล่าวว่า ข้อหาที่อดีตรองนายกฯ แจ้งความดำเนินคดีกับผู้เสียหาย ไม่เป็นความจริง เป็นการแต่งเติมข้อเท็จจริงเพื่อให้เข้ากับข้อกฎหมาย ให้สามารถเรียกเงินหรือทรัพย์สินคืนจากฝ่ายหญิงได้ เช่น การไปสู่ขอหรือการหมั้นหมาย ก็ไม่มีเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น รวมถึงการให้ทรัพย์สินเป็นเงินเพื่อไปซื้อคอนโดก็ไม่เป็นความจริง จากการตรวจสอบพบว่าการซื้อคอนโดดังกล่าว ฝ่ายหญิงซื้อตั้งแต่ปี 2562 ซึ่งเป็นช่วงก่อนจะรู้จักกับอดีตรองนายกฯ คนดังกล่าว ซึ่งทั้งคู่รู้จักกันเมื่อปี 2565 ทั้งนี้ ส่วนตัวเชื่อว่าอดีตรองนายกฯ ได้ให้ทรัพย์หรือเงินให้กับฝ่ายหญิงบ้างในฐานะชู้รัก แต่เชื่อว่าไม่ได้มากถึง 19 ล้านบาท ตามที่มีข่าวออกมา

นายษิทรายืนยันว่า เรื่องนี้ไม่ใช่กระบวนการตบทรัพย์ เพราะฟ้องร้องตั้งแต่แรก หากเป็นการตบทรัพย์ต้องมีการต่อรองเพื่อไม่ให้เป็นข่าว ฝั่งตนฟ้องร้องอย่างเงียบๆมาตลอด กระทั่งเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยจึงต้องออกมาเป็นข่าว เนื่องจากสามีนักธุรกิจลูกความตนถูกคุกคามจนต้องย้ายที่อยู่ไปเรื่อย ลูกความตนไม่มีลูกกับภรรยาคู่กรณี ตอนนี้แยกกันอยู่ ส่วนขั้นตอนการฟ้องหย่ากำลังดำเนินการและฟ้องหย่าเนื่องจากอดีตรองนายกฯเป็นชู้ในสำนวนเดียวกัน ก่อนที่อดีตรองนายกฯจะแจ้งความตำรวจดำเนินคดีข้อหาร่วมกันฉ้อโกง

ต่อมาเวลา 16.00 น. นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ ข้อความว่า เรื่องนี้ชักสนุกใครกันแน่ทำเป็นขบวนการ!? คดีนี้มีการอ้างว่าอดีตรองนายกรัฐมนตรีรักจริง มีผูกข้อไม้ข้อมือและเอาสินสอดของหมั้นให้ฝ่ายหญิง ถ้าจะเรียกคืน ตามกฎหมายมันไม่ได้อยู่แล้ว เพราะอดีตรองนายกรัฐมนตรีรู้อยู่เต็มอกว่า ตัวเองมีภรรยาที่จดทะเบียนสมรสอยู่ จะไปหมั้นกับผู้หญิงอื่นได้ยังไง และที่สำคัญการทำพิธีผูกข้อไม้ข้อมือมีญาติผู้ใหญ่ฝ่ายไหนไปบ้างครับ มีรูปหลักฐานซักรูปหรือเปล่า หรือเป็นแค่ข้ออ้างลอยๆเพื่อแก้เกมส์ไปวันๆ ส่วนการจะอ้างว่าไม่รู้ว่าผู้หญิงมีสามีแล้ว คนระดับนี้ก่อนจะทำพิธีจะไม่เช็กกันเลยเหรอ หรือรู้อยู่เต็มอกแต่ไม่สนใจแค่นั้นเอง ติดตามให้ดีนะครับ พรุ่งนี้มีเซอร์ไพรส์

ส่วนที่มีหลายฝ่ายตั้งสงสัยว่า การที่ฝ่ายหญิงถ่ายรูปกับอดีตรองนายกฯ ไว้นั้นมีเจตนาต้องการแบล็กเมลหรือไม่ ทนายตั้ม มองว่าไม่น่าจะใช่ เพราะจากข้อมูลพบว่าเป็นการถ่ายรูปให้กันทั้งสองฝ่าย เพราะอดีตรองนายกฯ ก็ถ่ายรูปในลักษณะดังกล่าวเอาไว้ด้วยเช่นกัน

ส่วนอดีตสามี มีการฟ้องชู้ เรียกเงิน 25 ล้านบาทนั้น เป็นเพียงการพูดลอยๆ ซึ่งยอมรับมีการฟ้องเรียกค่าเสียหายไปจริง แต่ไม่ถึง 25 ล้านบาท พร้อมระบุว่าตนเองมีหลักฐานว่าอดีตรองนายกฯ รู้ว่าฝ่ายหญิงมีสามีอยู่แล้ว และทั้งสองก็รู้เห็นเป็นใจกันตลอด ส่วนอดีตสามีของฝ่ายหญิงยืนยันว่าไม่รู้ และทันทีที่รู้ก็ได้ขออย่าทันที ส่วนภาพและคลิปหลักฐานสามีของฝ่ายหญิงได้แอบเข้ารหัสและนำออกมา เนื่องจากฝ่ายหญิงมีพิรุธและจะหวงโทรศัพท์ มีการตั้งรหัสจากแต่ก่อนไม่ตั้ง จนพบว่ามีการคบชู้จริง

ทนายตั้มยอมรับขณะนี้ยังรู้สึกกังวลเรื่องอิทธิพล เนื่องจากอดีตรองนายกรัฐมนตรีเป็นคนมีชื่อเสียง มีพรรคพวก มีเงิน และเกรงว่าอาจมีการช่วยเหลือกันในทางคดี ทำให้ส่งผลต่อรูปคดีในอนาคตได้

ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีรายงานแสดงผลการบันทึกคดีของ สน.บางยี่ขัน เลขที่ 546/2565 เลข รับแจ้ง 1/20.12.2565 ข้อหาร่วมกันฉ้อโกง พนักงานสอบสวน พ.ต.ท.วันชัย พันธพัฒน์ วันรับคำร้องทุกข์ 15 ธ.ค.2565 เวลา 13.30 น. วันเกิดเหตุ 1 ธ.ค.2564 เวลา 13.00 น. ถึงวันที่ 30 พ.ย.2565 เวลา 13.30 น. สถานที่เกิดเหตุห้างเซ็นทรัลปิ่นเกล้า ถนนบรมราชชนนี แขวงอรุณอมรินทร์ เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร

พฤติการณ์แห่งคดี ระหว่างเดือนธันวาคม 2564 ถึงเดือนพฤศจิกายน 2565 ผู้ต้องหาที่ 1-3 ร่วมกันหลอกลวงนาย ย.ผู้เสียหาย ว่า น.ส. ธ. ยังไม่ได้แต่งงานและไม่มีสามี ทั้งที่จริงได้จดทะเบียนสมรสและอยู่กินกับ นาย ก.มาตั้งแต่ปี 2560 แล้ว ทำให้นาย ย.หลงเชื่อและหลงรัก อยากให้ น.ส. ธ. มาดูแลนาย ย.ในฐานะคนรัก จึงนำเงินไปสู่ขอกับนาง ข. และนาย พ.ผู้ต้องหาที่ 4 ซึ่งเป็นมารดาและบิดาของ น.ส. ธ. ผู้เสียหายให้เงินและทรัพย์สินต่างๆตามที่ น.ส. ธ. ร้องขอดังนี้

1.เงินสดที่นำไปให้พ่อแม่ น.ส. ธ. เพื่อสู่ขอลูกสาวมาดูแลจำนวน 1 ล้านบาท 2.แหวนเพชรจำนวน 1 วง ราคาประมาณ 500,000 บาท ให้ น.ส. ธ. ใน วันสู่ขอ 3.ทองคำที่ซื้อให้ น.ส. ธ. นาง ข.และนาย พ. จำนวน 60 บาท รวมราคาประมาณ 1,600,000 บาท 4.เงินสดให้ น.ส. ธ. ไปซื้อรถจำนวน 3 ล้านบาท 5.เงินสดที่ให้ น.ส. ธ. ไปซื้อบ้านจำนวน 3 ล้านบาท 6.เงินที่โอนเข้าบัญชี น.ส. ธ. จำนวน 319,000 บาท และ 7.เงินสดที่ให้ น.ส. ธ. เอาไป 10 ล้านบาท รวมรายการเป็นเงิน 19,419,000 บาท

ผู้ต้องหาที่ 1-4 ทราบอยู่แล้วว่า น.ส. ธ. จดทะเบียน สมรสและอยู่กินกับสามี แต่ปิดบังนาย ย.ทั้งที่สามารถแจ้งความจริงได้ตลอดเวลา และเมื่อได้ทรัพย์สินไปแล้วประมาณเดือน พ.ย.2565 น.ส. ธ. ตีตัวออกห่างและเลิกกับนาย ย. ไม่ติดต่อกับนาย ย.อีกต่อไป แสดงว่าผู้ต้องหาที่ 1-4 ได้ร่วมกันหลอกลวงเพื่อให้ได้ทรัพย์สินไป ทำให้นาย ย.ได้รับความเสียหายเมื่อวันที่ 22 พ.ย.2565 จึงมาร้องทุกข์ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

ล่าสุด วันนี้ 12 ม.ค. 2566  เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2566 นายโกศลวัฒน์ อินทุจันทร์ยง รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เปิดเผยว่า ได้รับทราบจาก นายจิระประวัติ แบบประเสริฐ อธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญาตลิ่งชัน ว่า เมื่อวันที่ 10 ต.ค.ที่ผ่านมา พนักงานสอบสวน สน.บางยี่ขัน นำสำนวนพร้อมความเห็นสมควรสั่งฟ้อง นาง ธ. นาย จ. กับนาย ก. และนาง ข.(มารดาและบิดาของนาง ธ.) เป็นผู้ต้องหาที่ 1-4 ตามลำดับ ในความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 341 ประกอบ 83

โดยการนำสำนวนดังกล่าวมายื่นตรงกับวันครบกำหนดผัดฟ้องครั้งที่ 5 ซึ่งคดีนี้อัตราโทษไม่เกิน 3 ปี ถือเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจศาลแขวงสามารถผัดฟ้องได้ 6 ผัด (30 วัน) เท่ากับว่าเหลือเวลาในการพิจารณาคดีช่วงผัดสุดท้าย จนถึงวันที่ 15 ม.ค. 66 ก่อนหมดระยะเวลาคุมตัวตามกฎหมาย ซึ่งคดีนี้ฝ่ายผู้ต้องหามีการร้องขอความเป็นธรรมเข้ามาทางพนักงานอัยการเจ้าของสำนวนจึงได้สั่งให้พนักงานสอบสวนทำการสอบสวนเพิ่มเติม ก่อนที่จะพิจารณามีคำสั่งทางคดีต่อไป

โดยหากถ้าผลการสอบสวนที่ทางพนักงานอัยการสั่งสอบเพิ่มส่งมาไม่ทัน อัยการพิจารณาสั่งคดีวันที่ 15 ม.ค.นี้ตามกฎหมาย ตัวผู้ต้องหาจะต้องพ้นการคุมตัวของศาล เเละคดีจะต้องขออนุญาตอัยการสูงสุดฟ้อง หากมีคำสั่งฟ้องทางตำรวจจะต้องนำตัวผู้ต้องหามาให้อัยการยื่นฟ้องต่อศาลอีกครั้ง