พุทธวิทยาศาสตร์ ระบุ “อิลิทโลก”นำเข้าสู่มารคอย “หลอก-ล่อ”โลกโกลาหน

พุทธวิทยาศาสตร์ ระบุ “อิลิทโลก”นำเข้าสู่มารคอย “หลอก-ล่อ”โลกโกลาหน





Image
ad1

นายวีระศักดิ์ สินธุวงศ์  สำนักคิดพุทธวิทยาศาสตร์ ได้วิเคราะห์ระบุในการเปิดโลกพระศรีอาริย์ตื่นไทยตื่นธรรมตามรู้ดูจิตอิลิทโลก - ไซออนิสต์ ดีฟสเตท องค์กรเบื้องหลังลึกลับและน่าสะพรึงกลัวของความรู้ยิ่งตั้งแต่ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 16 -17 สมาคมของผู้ช่างคิดโยนิโสมนัสิกาที่จะนำความรู้ยิ่ง ออกมาถ่ายทอด จนกระทั่งเกิดทฤษฎีสมคบคิดแพร่หลายกระจายตัวตลอดศตวรรษที่ 18 เกิดการปฏิวัติทำลายล้างถอนรากถอนโคนพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินครั้งยิ่งใหญ่ของกงล้อประวัติศาสตร์โลก 

“เพราะอีลิทโลกพวกเขาผ่านการอวตารแบ่งญาณผ่านการทำศึกสงครามมานับจากยุคเริ่มต้นของฟ้าสวรรค์ พวกเขาก็เป็นนักรบของพระผู้สร้างเหมือนกัน แต่ไม่ได้นำพาคนเสด็จนิวัติคืนสู่ฟ้าสวรรค์ เขาเป็นนักรบเหมือนกันแต่เป็นนักรบจากฝ่ายมาร”

ทัศนะพุทธวิทยาศาสตร์ ยังระบุว่า พวกเขามาคอยหลอกล่อ กลิ้งกลอกให้คนเดินหลงทางผิดนำพาเข้าสู่หลุมดำสู่การจุติเกิดใหม่ในโลกแห่งมารโลกแห่งความมืดบอดโลกแห่งความไม่รู้เพราะมวลพลังงานในการหมุนเวียนเปลี่ยนโลกมีอยู่ 2  ฝ่าย 2 ฝั่ง ขึ้นกับลงสูงกับต่ำดำกับขาวผิดกับถูกดีกับชั่วบวกกับลบ จิตใฝ่สูงจิตใฝ่ต่ำ อริยะภาคขาวอริยภาคต่ำ 

“ที่ต้องมาช่วยกันบนโลกมีให้สุดโต่งกันไปทางฝ่ายฝั่งใดเพราะความเสถียรสมดุลคือการปล่อยวางทำจิตให้ว่างสะอาด สว่างสงบ” 

เขาก็รบกันมานับจากยุคของโลกว่างโลกของพระผู้สร้างจากโลกแห่งแสงสว่างผ่านการอวตารแบ่งญาณผ่านภพผ่านชาติ เป็นอนันต์ นับจากศึกสวรรค์จนกลายเป็นรามเกียรติ์กลายเป็นลูกหลานบุตรบริวารของพระศีรฯที่ต้องมาร้องเล่นเต้นกันอยู่บนภาคพื้นดิน

“ก็พวกเราเองเป็นผู้ถูกเลือกและก็กลายเป็นนอมินีในการแสดงตนใครจะเล่นเป็นพระใครจะเล่นเป็นมาร ก็ผ่านการประชุมบทบาทแห่งวิบากจิตอยู่ในสันดานพฤตินิสัยในใจตน” 

พระผู้สร้าง พิมพ์เขียวมโนภาพ ที่เราบันทึกรวบรวมเรียบเรียง จากการเดินทางทั่วสากลจักรวาล ทุกการตัดสินใจกระทำใน•กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม คือการตัดสินใจเลือกทางที่จะนำไปสู่การประจุจิตเกิดในภพชาติต่าง ๆ ปฏิจจสมุปบาท อิทัปปัจจยตา คืออดีตชาติที่เป็นอนันต์มันผ่านการสรุปผลจากกฎแห่งกรรมจากกฎของพระเวทย์กฎของพระธรรม กลายเป็นกรดนิวคลีอิกเป็นพอลิเมอร์ของนิวคลีโอไทด์ นั่นคือสายใยสายญาณะในการเชื่อมต่อกับกัมมะพันธะภาระ ของรูปและนามประจุจิตเก็บไว้ในสายใยของ DNA ใครจะมาเป็นพระใครจะมาเป็นมาร

“มันได้ผ่านการร้อยเรียงเอาไว้ภายในสายใยแห่งตัณหายึดมั่นถือมั่นหลงติดอยู่กับจิตตสังขารอยู่กับการอุปทานปรุงแต่งอยู่กับตัวกูของกู โลภ โกรธ อาฆาต จองล้างจองผลาญจองกรรมเวรกันมาจากอดีตชาติที่เป็นอนันต์”

และเมื่อถึงยุคกึ่งพุทธกาลสงครามจากฟ้าสวรรค์ สงครามชาวแสงสงครามเทวดาฝ่ายขาวฝ่ายดำ ถ้ายังไม่มีการคลายกรรม ผ่านการอโหสิกรรมยังคงมีความเป็นก้อนกรรมมวลของภาคดำ และถ้ายังไม่ผ่านในการชำระสะสาง ล้างกายล้างจิตฟอกกาย ฟอกกรรม หากล้างไม่ทันก็จะกลายเป็นลูกหลานบุตรบริวารของพญามารไปโดยที่ไม่รู้สึกตัว

ทัศนะพุทธวิทยาศาสตร์ ระบุถึงอิลิทโลกนำทางคนเข้าสู่หนทางแห่งมาร เมื่อสมัยศตวรรษ 16 -17 – 18 เกิดการปฏิวัติทำลายล้างพลิกคว่ำพลิกแผ่นแผ่นดินไม่ต่างจะคิดเข้าสู่โลกใหม่แผ่นดินใหม่ การเมืองใหม่

“เมื่อมาถึงยุค คศ.นี้ก็ไม่ต่างกัน ได้เกิดสถานการณ์พลิกแผ่นดินเข้าสู่มหาอำนาจหลายขั้วโลกใหม่ ขณะที่โลกมหาอำนาจขั้วเดียวที่กำลังผุกร่อนเป็นโดมิโน่ทั้งประชาชน เศรษฐกิจ การเมือง การทหาร เทคโนโลยีวิทยาศาสตร์ และกระทั่งประชาธิปไตย
ภาวะความเป็นไปตามบทพุทธวิทยาศาสตร์ ที่สอดรับกับผู้ทรงคุณวุฒิศาสนาที่ได้ฉายสถานการณ์โลกโกลาหนหลากหลายรูปแบบ ฝ่ายหนึ่งคือผู้ปกป้องมาตุภูมิ ฝ่ายหนึ่งต้องปกป้องมาตุภูมิทำลายทำนบกั้นจากผู้รุกรานที่โอบล้อม 

“สถานการณ์โลกคนพึงสมเพชเวท ชาวโลกผู้มองเห็นธรรมจึงมีการทิ้งระยะห่างกันมากขึ้นกับผู้รุกรานฝ่ายเดียว โดยเฉพาะจากประจักษ์พยานจากการเข่นฆ่าล้าเผ่าพันธุ์ จนโลกต้องถอยห่างปลดแอกจากมหาอำนาจขั้วโลกเดียวหันเข้าสู่มหาอำนาจโลกใหม่หลายขั้ว” 

“จนหลายพื้นที่ต้องทำสงครามจรยุทธที่ยืดเยื้อยาวนานเพื่อล่อเป้าเข้าสู่กับดักสงครามดังอดีตที่ผ่านมาก็เกิดขึ้นประจักษษ์พยานในหลายพื้นที่ของโลก ทั้งสมรภูมิเวียดนาม สมรภูมิอาฟกานิสถาน ฯลฯ  เพราะนักรบจิตวิญญาณที่จำจรยุทธลับลวงพรางล่อเป้าด้วยฐานลวงแต้มทาสี เพื่อทอนอาวุธและการเงินของผู้รุกราน”

และในที่สุดผู้รุกรานต้องติดกับดักที่จะส่งผลต่อประเทศและประชาชนในที่สุด ในที่สุดประชาชนต้องเทใจออกจะไม่สามารถครองจิตใจประชาชนคลองมวลชนอันเป็นรากฐานเรือต้องพึ่งน้ำ  และเมื่อรากฐานเทจิตใจออกการเมืองการปกครองก็จะสั่นคลอนและจะเสียการปกครองไปในที่สุด และกำลังเกิดขึ้นอยู่กับหลายประเทศ 

 เขายังได้ฉายภาพต่อว่าการสู้รบกับทราย ทะเล ภูเขา ซึ่งจะอยู่ทั่วกลุ่มตะวันออกกลางที่เป็นผังเมืองแห่งชัยภูมิกับผู้รุกราน

“อเพราะในหุบเหวภูหินผา นั้นคือขุมอุตสาหกรรมอาวุธสงคราม กำลังพลจิตวิญญาณจะจรยุทธกระจัดกระจายตามฐานลับที่พวำกเขารู้ว่าจะต้องมาถึงวันนี้”
เขายังได้ฉายการรบว่า นักรบจิตวิญญาณ ประชาชน ได้ตายเหมือนไม่ตายแล้วพวกเขายังปราบปลื้มปรีดากับรางวัลเกียรติยศตอบแทนจากสวงสวรรค์ ซึ่งพวกเขามีปณิธานอันแรงกล้า

“เขาไม่ได้รบและอยู่โดยไม่มีเป้าหมาย เขามีเป้าหมายเขาจึงต้องการวันนนี้ โดยต้องไม่ลืมว่าแผ่นดินศักดิ์ปาเลสไตน์จะยิ่งยืดเยื้อยาวนานไม่จบ ต่างมาใหม่และต่างอคิวยาวที่จะเข้ามาปกธงหนึ่งเดียวคือพระเจ้า หากสภาพจากการรุกรานยังไม่ยุติ และก็จะจบเมื่อโลกม้วนเสื่อ” 

โดยพวกเขายังมีปณิธานว่าทะเลแดงทะเลทรายจะเป็นทะเลเลือด และจะให้เป็นสุสานของผู้รุกราน

“โลกวันนี้ต้องไม่ลืมว่าสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไม่เป็นเช่นเดิมอีกต่อไปมหาอำนาจขั้วโลกเดียวกลับไม่ใช่แล้ว จากประจักษ์พยานการคว่ำบาตร กำแพงภาษี และสงคราม ก็จะไม่ได้บรรลุเป้าหมายตามที่หวังเป้า”
ต้องไม่ลืมว่านโยบายมาตรการนั้นจะไม่ศักยภาพพอกับชาติพันธุ์ DNA ประชาชาติที่เคยผ่านยุคสมัย ตั้งแต่พระเจ้า ยุคดาวแดงค้อนเคียว และอดีตยุคดาวแดงค่อนเคียวขนาดปิดประเทศประชาชาติมาตุภูมิยังเสถียรภาพมั่งคั่งมั่นคงอีกทั้งขยายเติบโตพัฒนาอย่างล้ำหน้าทางด้านทรัพยากร การเงิน การทหาร วิทยาศาสตร์เทคโนโลยี และพันธมิตรพวกพ้อง

“และก็ไม่ต่างกับรัฐที่อยู่กับศาสนาเช่นกันขยายตัวเติบโตไปในทิศทางเดียวกัน”

จนกระทั่งมาถึงยุคประชาธิปไตยฉบับบริบทประเทศของตนเอง กลับพัฒนาล้ำหน้าทั้งทางเศรษฐกิจ การเงิน วิทยาศาสตร์เทคโนโลยี การทหาร และบุคคลากรของประเทศ โดยจะทิ้งระยะห่างกับประชาธิปไตย ที่ผันหลังให้ประชาชน ทอดทิ้งประชาชนหลังจากที่เอาประชาชนมาเป็นเครื่องมือ

“จนในที่ประชาธิปไตย ต้องตกที่อยู่ภายใต้อุ้งมือมาร ที่ไม่ได้ตกอยู่ฝ่ายพระ โลกจึงเกิดภาวะวิบัติ เป็นไปตามบริบทพุทธวิทยาศาสตร์ที่ว่าอิลิทโลกนำพาเข้าสู่มาร”

แต่ทว่า โลกวันนี้เดชะบุญฝ่ายพระมีอยู่จริง ที่เกิดมีมหาอำนาจหลายขั้วโลกใหม่ ที่มีความพร้อมที่จะพูดด้วยปากกระบอกปืน หากฝ่ายหนึ่งพูดด้วยปากกระบอกปืน ตาต่อตาฟันต่อฟัน โลกจึงยุติธรรม เพราะจากระเบียบโลก กฎหมายโลกที่มีอยู่ เมื่อใครไม่ยึดเป็นเส้นทางเดินแล้ว

โลกจะเป็นไปตามลายแทงหรือไม่ ว่าโลกจะม้วนกับพับม้วนเสื่อมเสื่อ จะเป็นฝ่ายมารหรือฝ่ายพระม้วนเสื่อ โดยลายแทงเพราะเกิด 3 มหากองทัพ กองทัพยามานี กองทัพกูรอซานี กองทัพอาบูซุบยาน จะเข้าโรมรัน  และทุกฝ่ายจะได้รับความเสียหายยับเยิน และอีกฝ่ายจะราบเป็นหน้ากลอง  จะเป็นไปตามปณิธานโลกจะม้วนเสื่อเป็นโลกใหม่ และทั้งผองจะพี่น้องกันลูกแกะจะกินน้ำบ่อเดียวกันกับหมาป่า

มองสถานการณ์วันนี้จงมองดูวิถีแมลงมุม โลกฝ่ายหนึ่งที่กระทำไม่ต่างกับแมลงมุม  แมลงมุมยิ่งชักใยยิ่งสยายใย กลับยิ่งพันธนาการตัวเอง แล้วในที่สุดไม่ต่างกับอัตวินิบาตกรรมในที่สุด   วิถีแมลงมุมจึงเป็นสัจธรรม

“สำหรับโลกวันนี้หลายขั้วมหาอำนาจ  ว่าใครมีปืนมากกว่า ใครมีคนมากกว่า ใครมีเงินมากกว่า และใครมีทรัพยากรมากกว่า แล้วในที่สุดใครจะเหลือมากกว่าระหว่างมารกับพระ”.