สงครามครั้งสุดท้ายของอนุรักษ์นิยม "The final war"หรือ "พิธา"ตั้งใจวืดนายก… เพื่อเป็นตำนาน
หลังจากที่พลพรรค ของฝั่งส้ม และพวกเด็กๆ เดินสายเก็บความชอบธรรม จากประชาชน ตลอดระยะเวลา เกือบสองเดือนที่ผ่านมา เราก็อาจเห็นว่าทางฝั่ง คนแก่นั้น ไม่ได้ทำอะไรมาก นอกจาก ส่งสมุน ปลายแถวออกมาด่าทอพอเป็นกระสัย พิธี อยู่ประปราย เนื่องจากยังมั่นใจในค่ายกล องค์กรอิสระ ที่วางไว้ตามทางอย่างมากมาย
ซึ่งค่ายกลแต่ละแห่งนั้นก็ทำงานได้อย่างสมคำร่ำลือ คือดักทุกวิถีทาง แบบไม่สนใจความชอบธรรม และทำได้น่าเกลียด สมใจผู้เป็นเจ้านายผู้แต่งตั้งยิ่งนัก จนมาถึงวันเลือกนายก ซึ่งกว่าจะถึงก็ทุลักทุเล มีอะไรให้ลุ้นทุกนาที ไม่เว้นแม้กระทั่งวันสุดท้าย ที่กกต ยังพยายามส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญ ให้สั่งพิธาหยุดปฎิบัติหน้าที่ในนาทีสุดท้ายให้ได้
คะแนนการเลือกนายก ออกมาแบบไม่ได้พลิกความคาดหมาย เพราะค่ายกล สว ที่ถูกแต่งตั้งมาราวกับค่ายทหาร
คือมีแต่ พลเอก พลโท รวมถึงรวมพลคนที่เกลียดทักษิณเก่า ถูกนำมามัดรวมกันไว้ ในนามของ วุฒิสภา ยังทำหน้าที่ได้ สมใจผู้ที่แต่งตั้งเข้ามา
พิธา และกุนซือ ไม่รู้เรื่องนี้แต่แรกเหรอ
คำตอบคือ รู้ดี และมั่นใจอยู่แล้วว่า สว ไม่โหวตให้ตน
รู้ตั้งแต่วันแรกแล้ว และรู้ดีว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
หลายคนมองว่า การเดินสายใช้เสียงประชาชนมากดดัน สว
ในระยะเวลาที่ผ่านมาเป็นแผนของพิธา ส่วนตัวแล้วมองว่า
พิธาและขงเบ้งกุนซือ ไม่ได้โง่ขนาดนั้น
เพราะถ้าออกข้อสอบให้เด็ก ม3 ตอบ ว่า คุณคิดว่าวุฒิสภาจะยอมฟังเสียงประชาชนหรือไม่ คิดว่าเด็กๆ นั้นคงส่ายหัวและตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า …ไม่มีทาง
แล้วพิธา กับพวกกุนซือส้ม จะไม่รู้ได้อย่างไร
แต่ทำไมยังฝันกลางวันว่า สว จะยกมือเทมาที่ตัวเอง จนเป็นนายก
หรือเอาจริงๆแล้ว ความฝันของเด็กๆพวกนี้ ไม่ใช่การได้ตำแหน่งนายก เพราะถ้าอยากได้จริง ป่านนี้ได้ไปแล้ว
วันแรกที่พรรคภูมิใจไทย ของเสี่ยหนู ออกมาแบะท่า ว่าพร้อมร่วมรัฐบาล ถ้าอยากได้นายกจนตัวสั่น ก็แค่ยอมเฉือนกระทรวง ดีๆสักหน่อย ถอยตรงนั้นอีกนิด ได้เสี่ยหนูมา 70 กว่าเสียง ปิดสวิทช์ สว แบบไม่ต้องออกแรง
compromise กับฝั่งคนแก่ อีกสักยกสองยก ตอนนี้นั่งอยู่ในทำเนียบไปเรียบร้อยแน่นอน ไม่ต้องมานั่งลุ้นคุกลุ้นตารางอยู่แบบนี้
แต่พวกเด็กๆ ไม่ทำ แถมยังดันสิ่งที่เป็นระเบิดเวลา เช่น มาตรา 112 แบบไม่สนใจหน้าอินทร์หน้าพรหม ยอมหักไม่ยอมงอ ต่อไปแบบเห็นอยู่แล้วว่า
ยังไงก็ไม่ได้ ก็ยังใส่ต่อ
หลายคนมองว่า พวกเด็กๆ เล่นการเมืองไม่เป็น งกกระทรวง
อุดมการณ์แรงเกินกว่าจะทำงานใหญ่สำเร็จ ถ้ามองแต่อยากเป็นนายก …ก็อาจจะมองแบบนี้ได้ไม่ผิด
แต่เด็กพวกนี้ งานใหญ่ ของเขาใหญ่กว่านั้น ใหญ่กว่าตำแหน่งนายกที่นักการเมือง มองว่าเป็นจุดสูงสุดของทางการเมือง …ไปอีกเยอะ
ธนาธรเอง เคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า จุดสูงสุดทางการเมืองของเขาไม่ใช่ตำแหน่งนายก หากแต่เป็นการที่เขาไม่ต้องกลับมาเล่นการเมืองอีกแล้ว เพราะวันนั้นการเมืองไทย จะอยู่ในรูปแบบของการเมืองสมัยใหม่ พรรคการเมืองไม่ต้องซื้อเสียง และถึงซื้อก็ไม่ได้ ประชาชนเข้าใจ สิทธิ เสรีภาพของตัวเอง ยอมสนับสนุน พรรคที่ตนรัก แบบไม่ต้องเอาเงินมาให้
นักการเมือง มีจริยธรรมที่แข็งแรง ระบบตรวจสอบแข็งโป๊ก
ไม่มีองค์กร อิสระเบี้ยวๆ ประเทศไทยเดินหน้าเป็นประเทศพัฒนาแล้ว ในประชาคมโลกอย่างมั่นใจ
วันนี้พวกเขาทำสำเร็จไปครึ่งทางแล้ว และพิสูจน์ไปแล้ว และทำให้คนทั้งประเทศเห็นแล้วว่า การตั้งพรรคการเมืองทำแบบนี้ แบบไม่ใช้เงิน ใช้แค่วิสัยทัศน์ และความศรัทธา
จากประชาชน ยังชนะเป็นอันดับหนึ่งได้ แบบถล่มทลาย
จนทำให้ทุกพรรคการเมืองต้องหันกลับมามองตัวเองและปรับแผนใหม่ คือการเข้าถึงประชาชน เพราะรู้ว่าการทำแบบเก่าสอบตกแน่ ใช้ไม่ได้ ระบบบ้านใหญ่พังทลาย ระบบการหาเสียงแบบเก่า โดน disrupt แบบไม่มีวันกลับมา
เพราะพรรคก้าวไกล ลงเลือกตั้งและทำให้ดูครั้งเดียว
ทุกครั้งที่พรรคการเมืองใดชนะการเลือกตั้ง พวกฝั่งคนแก่ จะใช้วาทกรรมเดิมๆ คือชนะเพราะซื้อเสียง และเข้ามาโกงกิน เป็นข้อกล่าวหา แต่ครั้งนี้เรื่องนี้ ไม่มีใครกล้าพูด ว่าก้าวไกลซื้อเสียง ก้าวไกลจะเข้ามากิน ทุกคนเงียบกริบ แม้กระทั่ง คุณสุเทพ หรือคุณสนธิ ก็ยังไม่กล้าพูดคำนี้ แต่ถ้าเป็นทักษิณชนะ รับรอง ยัดเรื่องซื้อเสียงแต่วันแรกให้แล้ว จะเหลือก็แค่เรื่องเดียวให้ด่า คือ 112 ซึ่งถ้าพวกเด็กๆถอยเรื่องนี้แต่แรก ก็จะเห็นว่า ไม่มีเรื่องอะไรให้ด่าได้อีกเลยในเวที แต่พวกเด็กๆก็ไม่ยอมถอย ไม่ยอมทำ
ดังนั้น แผนของพวกเด็กๆที่ใหญ่กว่าตำแหน่ง นายกคืออะไร
ก็คือการครองใจคน ทุกรุ่น โดยเฉพาะรุ่นใหม่ ที่กำลังเติบโตขึ้นมา ให้เห็นสิ่งที่บิดเบี้ยว การเอารัดเอาเปรียบ การผูกขาด
การสร้างองค์กรอิสระ มาเข้าข้างตน ให้เห็นความน่าเกลียดของระบบเก่า ที่เกาะกินสังคมไทย ปลุกประชาชนให้ตาสว่าง
สิ่งนี้เขาทำสำเร็จไปเกินครึ่งแล้ว
ฉากต่อไปเขาจึงเอาตัวเอง ไปขึ้นเขียงโชว์ ตามหมากที่ตนเองเหมือนแกล้งปล่อยไว้ ให้ค่ายกลต่างๆ ทำงาน อย่างสุดฤทธ์ เพื่อให้ประชาชนหมดศรัทธาในระบบเก่า ให้เห็นธาตุแท้ ให้เห็นความแถ ให้เห็นสันดานคน จนเอือมระอา และให้แนวคิดของเขา เข้าไปแทนที่ เข้าไปนั่งในใจคน
สงครามนี้ยังรบกันอีกนาน และพิธาเองก็รู้ดีว่า เขาจะต้องถูกตัดสิทธ์ทางการเมือง เขารู้แต่วันแรกที่มารับตำแหน่งแทนธนาธรแล้ว ว่ายังไงก็โดน ไม่ว่าข้อหาใดข้อหานึง โดยเฉพาะมาตราทีื อ่อนไหว สามารถร้องเรียนได้ว่า ล้มล้างการปกครอง เขาก็ยังยืนยัน ดื้อดึงทำ
เหมือน มหาตมะคานธี รู้ตัวไหมว่า วันที่ประท้วง จักวรรดิอังกฤษ ที่แข็งแรงที่สุดในโลกเวลานั้น เรื่องการเอาเปรียบคนอินเดียเรืองการห้ามผลิตเกลือ เอาเปรียบคนยากจน ให้มาซื้อเกลือจากนายทุนเท่านั้น การประท้วงนี้จะทำให้เขาต้องถูกจับ ติดคุก มหาตมะคานธี รู้ 100 %
แต่ก็ยังทำ เพราะรู้ดีว่า หลังตัวเองโดนจับ เรื่องนี้จะเป็น Trigger ให้คนอินเดีย ลุกฮือ มาโค่นล้ม อังกฤษ ให้ไม่สามารถปกครอง รักษา บริติชราช ปกครองอินเดียได้อีกต่อไป และทุกอย่างก็เป็นไปตามนั้น คานธี โดนจับ ผู้คนลุกฮือ
อังกฤษ หมดศรัทธาจากผู้คน และต้องย้ายกำลังกลับบ้าน ส่งให้ อินเดียเป็นเอกราช ในภายหลัง แบบอังกฤษไม่มีวันได้กลับมาอีกเลย ในวันที่ 15 สิงหา 1947
หรือว่าหนุ่ม ที่จบจาก Mit และ Howard กำลังเดินตามแผนนี้
หรือว่า สิ่งที่เขามอง ไม่ใช่แค่ตำแหน่งนายก
หรือว่า สิ่งที่เขาต้องการจริงๆ คือการเป็น…ตำนาน
เป็น Leadership ที่ไม่ใช่การใช้อำนาจกดหัวผู้คน
แต่หากมาจากการ นั่งอยู่ในใจคน
และถ้าทำสำเร็จ สิ่งนี้จะทำให้เขาเป็น
ตำนานที่ชนะ…ตลอดกาล