กอ.รมน.ภาค 4 สน.แจงกรณี เพจอ้างเป็น BRN สั่งห้ามชาวไทยพุทธเข้าล่าสัตว์ในพื้นที่ชาวไทยมุสลิม

กอ.รมน.ภาค 4 สน.แจงกรณี เพจอ้างเป็น BRN สั่งห้ามชาวไทยพุทธเข้าล่าสัตว์ในพื้นที่ชาวไทยมุสลิม





ad1

นราธิวาส-กอ.รมน.ภาค 4 สน. ออกชี้แจงกรณี เพจอ้างเป็น BRN สั่งห้ามชาวไทยพุทธเข้าล่าสัตว์ในพื้นที่ชาวไทยมุสลิม เป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริง ยืนยันพี่น้องพุทธ และมุสลิมในพื้นที่ไม่เคยมีความขัดแย้ง ชี้สื่อฯ ควรใช้วิจารณญาณกรองข้อมูลก่อนนำเสนอข่าว จะได้ไม่กลายเป็นเครื่องมือกลุ่มผู้ไม่หวังดี

วันนี้(9สค.65)จากกรณีคนร้ายได้ใช้อาวุธปืนสงครามยิงประชาชนหาของป่าเสียชีวิต 2 ราย ในพื้นที่ ต.โต๊ะเด็ง อ.สุไหงปาดี จ.นราธิวาส เหตุเกิดเมื่อวันที่ 3 ส.ค. 2565 และต่อมาเมื่อวันที่ 5 ส.ค. 2565 ได้มีเพจเฟสบุ๊คที่อ้างว่าเป็นเพจของกลุ่มขบวนการ BRN. ได้ออกมาโพสต์ข้อความ “ขอความร่วมมือหน่วยกำลังภาคประชาชน งดเว้นล่าสัตว์หรือลาดตระเวนในพื้นที่ชาวมลายูมุสลิม เพื่อป้องกันการเข้าใจผิดว่าเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ”และต่อมาภายหลังได้มีการนำเสนอข่าวในรายการ “ข่าวข้น คนข่าว” ของสถานีโทรทัศน์เดอะเนชั่น และมีการแชร์ประเด็นดังกล่าวออกไปอย่างกว้างขวาง

 เพื่อไม่ให้ประเด็นดังกล่าวถูกสื่อสารออกไปอย่างไร้ขีดจำกัดที่อาจส่งผลกระทบต่อความรู้สึกและวิถีชีวิตของพี่น้องประชาชนในพื้นที่ในวงกว้าง กอ.รมน.ภาค 4 สน. จึงขอสร้างความเข้าใจดังนี้

ภายหลังเสร็จสิ้นเดือนรอมฏอน กลุ่มคนร้ายได้ก่อเหตุสร้างสถานการณ์ความรุนแรงทั้งการลอบยิง ลอบวางระเบิด ที่สร้างความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สิน รวมทั้งสร้างความเดือดร้อนให้พี่น้องประชาชนในพื้นที่มาอย่างต่อเนื่อง เจ้าหน้าที่จึงจำเป็นต้องเข้าบังคับใช้กฎหมายด้วยความระมัดระวัง ตามขั้นตอนด้วยความอดทน อดกลั้น ภายใต้การมีส่วนร่วมของผู้นำ 4 เสาหลักในพื้นที่ โดยใช้มาตรการจากเบาไปหาหนัก แต่คนร้ายกลับใช้ความรุนแรงตอบโต้จนนำไปสู่ความสูญเสียหลายรายในช่วงที่ผ่านมา

กอ.รมน.ภาค 4 สน. ได้ใช้ความพยายามในการแก้ปัญหาตามแนวทางสันติวิธี ให้สอดคล้องกับความต้องการของคนส่วนใหญ่ในพื้นที่ ทั้งในเรื่อง “การขอขยายระยะเวลารอมฏอนแห่งสันติสุข” ออกไปอีก 60 วัน รวมทั้งการเสนอแนวทาง “เข้าพรรษาสันติสุข” ในช่วงเทศกาลเข้าพรรษา แต่ไม่ได้รับการตอบสนองในเวทีการพูดคุยเพื่อสันติสุข จชต. ครั้งล่าสุดเมื่อ 1 - 2 ส.ค. 2565 ที่ผ่านมา และในขณะเดียวกันภายหลังเสร็จสิ้นการพูดคุย กลุ่มคนร้ายยังคงพยายามก่อเหตุสร้างสถานการณ์ในรูปแบบต่างๆ ทั้งต่อเจ้าหน้าที่รัฐและพี่น้องประชาชนอีกหลายเหตุการณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การก่อเหตุต่อกลุ่มเปราะบางไทยพุทธล่อแหลมที่ขึ้นไปล่าสัตว์ป่าเสียชีวิต 2 ราย นอกจากจะทำลายบรรยากาศกระบวนการพูดคุยแล้ว ยังได้ส่งผลกระทบต่อความรู้สึกของพี่น้องประชาชนอย่างกว้างขวาง

การออกแถลงการณ์ในเพจเฟสบุ๊ค BRN. “ขอความร่วมมือหน่วยกำลังภาคประชาชนไทยพุทธ งดเว้นล่าสัตว์หรือลาดตระเวนในพื้นที่ชาวมลายูมุสลิม” นั้น ถือเป็นความพยายามในการบิดเบือนข้อเท็จจริงให้สังคมเข้าใจไม่ถูกต้อง ทั้งนี้ เพราะพื้นที่ล่าสัตว์ / หาของป่า เป็นพื้นที่สาธารณะที่อยู่ในความรับผิดชอบดูแลของส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง โดย ไม่มีใครเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ “จึงย่อมเป็นสิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทยทุกเชื้อชาติ ศาสนา สามารถเข้าไปใช้ประโยชน์ได้ตราบใดที่ไม่ได้ละเมิดต่อหลักกฎหมายที่ได้กำหนดไว้”

 สำหรับกลุ่มคนไทยพุทธที่เข้าไปล่าสัตว์หาของป่า ถือเป็นวิถีชีวิตปกติของชาวบ้านที่มีมาอย่างยาวนานและไม่เคยมีปัญหาความขัดแย้งกับคนมุสลิมในพื้นที่และ “ไม่ได้เป็นกองกำลังภาคประชาชน” ตามที่กล่าวอ้างแต่อย่างใด 

 ทั้งนี้ จะใช้เวทีสภาประชาธิปไตยตำบล จัดประชุมหารือ เพื่อกำหนดแนวทางการปฏิบัติที่เหมาะสม ปลอดภัย สอดคล้องกับวิถีชีวิตของชุมชน และเป็นไปตามกฎระเบียบที่ได้กำหนดไว้ เพื่อป้องกันความสูญเสียที่อาจจะเกิดขึ้นในลักษณะดังกล่าวในอนาคตต่อไป

 อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบเพจเฟสบุ๊คที่อ้างตนว่าเป็นเพจของขบวนการ BRN. นั้นพบว่า เป็นเพจที่จัดตั้งขึ้นในลักษณะปกปิดสถานะที่ไม่สามารถพิสูจน์ทราบความมีตัวตนได้ (อวตาร) เช่นเดียวกับอีกหลายๆ เพจ โดยที่ผ่านๆ มา ได้เคลื่อนไหวบิดเบือนข้อเท็จจริงและเสนอข้อมูลอันเป็นเท็จ โจมตีการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่รัฐ สร้างความหวาดระแวง และความตื่นตระหนกให้พี่น้องประชาชนมาอย่างต่อเนื่อง โดยไม่เคยมีองค์กรใดออกมาแสดงความรับผิดชอบ จึงใคร่ขอให้โปรดใช้วิจารณญาณในการบริโภคข้อมูลข่าวจากเพจดังกล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งสื่อมวลชนควรใช้ดุลยพินิจและตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างรอบด้านบนพื้นฐานจรรยาบรรณของสื่อ เพื่อไม่ให้ตกเป็นเครื่องมือผู้ไม่หวังดีและซ้ำเติมสถานการณ์ให้รุนแรงยิ่งขึ้น 
 ทั้งนี้ กอ.รมน.ภาค 4 สน. ยังคงยึดมั่นในเจตนารมณ์ ในการแก้ปัญหาอย่างสันติวิธี ภายใต้หลักกฎหมายที่เสมอภาค เป็นธรรม ไม่เลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติในทุกรูปแบบรวมทั้งจะยังคงเดินหน้าสร้างสภาวะแวดล้อมให้เกื้อกูลและหนุนเสริมกระบวนการพูดคุยเพื่อสร้างสันติสุขอย่างยั่งยืนในพื้นที่ จชต. ต่อไป