เลขา สมช. ชี้มีแผนให้ปชช.ใช้ชีวิตปกติ และหน้ากากอนามัยยังจำเป็น หลังมีผู้สมัครหาเสียงผู้ว่ากทม. ถอดหน้ากากใน 90 วัน

เลขา สมช. ชี้มีแผนให้ปชช.ใช้ชีวิตปกติ

เลขา สมช. ชี้มีแผนให้ปชช.ใช้ชีวิตปกติ และหน้ากากอนามัยยังจำเป็น หลังมีผู้สมัครหาเสียงผู้ว่ากทม. ถอดหน้ากากใน 90 วัน





ad1

พล.อ.สุพจน์ มาลานิยม เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการ ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 กล่าวถึงการพิจารณามาตรการผ่อนคลาย ที่จะมีการหารือในที่ประชุม ศบค. วันพรุ่งนี้ ว่า จะมีการปรับแผน Test&Go ของผู้เดินทางเข้าประเทศที่ได้รับวัคซีน เป็นเรื่องที่ทั่วโลกมีการผ่อนคลายและพิจารณาเรื่องนี้มาโดยตลอด และเตรียมมาตรการที่จะเสนอไว้แล้ว เพื่อให้มีความสะดวกมากขึ้น แต่ในส่วนของผู้ที่ยังไม่ได้รับวัคซีน ก็จะปรับมาตรการให้สะดวกแต่รัดกุมมากขึ้น ตามที่สาธารณสุขประเมินและอยู่ในระดับที่รับได้ ก็จะมีการพูดคุยกัน ก่อนที่จะนำเสนอในวันพรุ่งนี้ ซึ่งมีอยู่หลายแนวทางคือ เดิมไม่ให้ตรวจจากต่างประเทศอยู่แล้ว แต่อีกมิติหลายประเทศในกลุ่มอาเซียน หรือประเทศในโลก ส่วนใหญ่ จะให้มีการตรวจจากประเทศต้นทาง เมื่อเข้าประเทศมาก็สามารถเดินทางได้อย่างสะดวก

แต่ที่เราทำเพราะการตรวจจากประเทศต้นทางมีความน่ากังวลอยู่หลายส่วน เราจึงต้องการสร้างความมั่นใจ เมื่อเข้าประเทศมาแล้วเราต้องเป็นผู้ที่ปลอดเชื้อแน่นอน ที่ผ่านมาเราจึงมีการตรวจภายในประเทศ แต่จากสถานการณ์ การประเมินพบว่า ตัวเลขผู้ติดเชื้อจากต่างประเทศมีจำนวนน้อยมาก มีเปอร์เซ็นต์​ที่น้อยมาก อาจจะมีการปรับ ซึ่งท่านนายกฯ ก็ให้แนวทางมาพิจารณาให้รอบคอบ

พล.อ.สุพจน์ ยืนยันว่าแนวทางที่จะคุยกันพรุ่งนี้ ระบบ Test&Go จะยังให้ความสำคัญกับเรื่องวัคซีน ส่วนการตรวจ ATK จะเป็นลักษณะใดจะตรวจ ATK หรือ ไม่ตรวจเลย จะมีการพิจารณาสรุปกันในวันนี้ ส่วนคนที่ไม่ได้รับวัคซีนและเดินทางเข้ามาก็จะพิจารณาในเรื่องของการกักตัว ถ้ามีมาตรการการตรวจที่รัดกุม เชื่อถือได้ การกักตัวอาจจะลดลง ยืนยันว่าการประเมินจะดูจากตัวเลขและปัจจัยหลาย ๆ ปัจจัย รวมถึงความต้องการให้เกิดความสะดวกทั้งคนไทยที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ นักท่องเที่ยวที่เป็นกลุ่มเศรษฐกิจหลักของไทย เป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องพิจารณาในทุกมิติ

ส่วนที่ภาคเอกชนอยากให้ยกเลิกไทยแลนด์พาส และเทสแอนด์โก ไปเลย พล.อ.สุพจน์ ยืนยันว่าได้รับฟังมาโดยตลอด แต่อยากให้เข้าใจว่า ไทยแลนด์พาสไม่ใช่ระบบที่ไม่ดี ถ้าย้อนกลับไปปีที่ผ่านมา ถ้าไม่มีระบบนี้ประเทศไทยจะเป็นอย่างไร แต่เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนระบบก็ต้องมีการปรับเปลี่ยนไปตาม และใช้เท่าที่จำเป็นจริงๆ ซึ่งหากที่ประชุมใหญ่ ศบค. เห็นชอบก็จะเริ่มได้วันที่ 1 พ.ค. ตามแผน ทั้งทางอากาศ และทางบก

ส่วนการปรับมาตรการรับเปิดเทอม พล.อ.สุพจน์ ระบุว่า จะมีการคุยเงื่อนไขบางประการที่กำหนดไว้ในมาตรการป้องกัน ที่ทำให้สถานศึกษามีข้อจำกัดในการให้นักเรียน เรียนออนไซต์​เต็มจำนวน ก็จะพูดคุยว่าจะปรับมาตรการอย่างไรให้โรงเรียนปลอดภัยรับนักเรียนออนไซต์​ได้เต็มจำนวน ส่วนการปรับโซนสี ยืนยันว่ามีเงื่อนไขการพิจารณาอย่างชัดเจน เท่าที่ดูตัวเลข ก็มีแนวโน้มว่าจะมีการปรับไปในทางที่ดีขึ้นทุกจังหวัด และมาตรการป้องกันที่ผ่านมา ทั้งประชาชน สถานประกอบการ เริ่มปรับตัวอยู่กับโควิด-19 ได้ดีมาก ดังนั้นแนวโน้มในการปรับโซนสี ก็จะเป็นไปตามเงื่อนไข

เมื่อถามถึงกรณีที่ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. หาเสียง ชูนำร่องให้ กรุงเทพฯ ถอดหน้ากากอนามัย ใช้ชีวิตปกติ ใน 90 วัน พล.อ.สุพจน์ บอกว่า การนำไปสู่ชีวิตปกติ แบบโรคประจำถิ่น กระทรวงสาธารณสุข​มีมาตรการไว้แล้ว และมีการปรับแผนอย่างต่อเนื่อง และต้องเข้าใจว่าโควิด-19 ยังต้องอยู่กับเราอีกเป็นปี เพราะฉะนั้นเราจะใช้ชีวิตได้อย่างปกติแล้ว ประชาชน​ติดเชื้อ หรือว่าเป็นโควิด-19 ได้รับผลกระทบน้อยที่สุดและสามารถประกอบอาชีพได้ มาตรการสำคัญที่ต้องทำ 3 ประการก็คือ การปรับตัวของเราในการใช้ชีวิตประจำวัน ยังต้องอยู่กับโควิดโดยป้องกันตัวเอง เพราะฉะนั้นหน้ากากอนามัย ยังเป็นอาวุธสำคัญที่ใช้ในการป้องกันตัวเอง การรักษาระยะห่างเท่าที่จำเป็น ถ้าไม่รักษาระยะห่างก็ต้องตรวจสอบคนที่อยู่รอบตัวติดเชื้อหรือไม่ ซึ่งประชาชนทั่วไปก็ได้ทำ เช่น การรวมกลุ่ม จัดกิจกรรมประชุม ก็มีการตรวจ ATK ก่อนเข้าประชุมทุกครั้ง เป็นต้น สถานประกอบการก็ใช้ Covid Free​ Setting​ ก็มีบางส่วนที่ยังละเลย ก็พยายามขับเคลื่อนผลักดันกัน แต่ภาพรวมยังถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้ ส่วนที่สำคัญที่สุดคือขีดความสามารถด้านสาธารณสุขที่จะรองรับก็มีการประเมินตัวเลขที่เหมาะสมและทำมาได้เป็นอย่างดี ซึ่งทั้ง 3 เรื่องเป็นหัวใจที่จะทำให้ชีวิตกลับมาปกติที่สุด.