รถบรรทุกปาล์มติดคิวยาว 3 คืน 2 วันหน้ารง.อุตฯทำน้ำหนักหาย 700-800 กก.


“ลานปาล์มน้ำมัน” โอดขาดทุน รง.อุตสาหกรรมหีบปาล์มกำลังการผลิตเต็มพิกัด รถพ่วงติดค้าง 3 คืน 2 วัน น้ำหนักหาย 700- 800 กก. เดือนกรกฎาคมสถานการณ์คาดน่าคลี่คลาย สภาเกษตรกร ชี้ 4 สินค้าการเกษตร 4 ตัวหลักฐานรากใหญ่สุดของประเทศดี เศรษฐกิจฟื้นตัวโดยภาพรวม พร้อมกระจายความเสี่ยงพื้นที่เหมาะสมปลูกพืชเชิงซ้อนหลีกปัญหาความผันผวน
นายสมศักดิ์ พาณิชย์ เจ้าของลานปาล์มน้ำมัน สวนปาล์มน้ำมันและนาข้าว อ.ระโนด จ.สงขลา เปิดเผยว่า ในปี 2568 ช่วงต้นปีมกราคม ราคาปาล์มน้ำมันได้ปรับตัว 8-9 บาท / กก. ไปจนถึงสูงสุด 10 บาท / กก. ซึ่งขณะนั้นขาดแคลนมีการแข่งขันซื้อสูง จนบางโรงงานต้องปิดซ่อมโรงงานทั้งระบบ และจนมาถึงปลายเดือนเมษายน 2568 ปาล์มน้ำมันได้ทยอยออกสู่ตลาดพร้อมกันและพีคมาจนถึงขณะนี้เดือนพฤษภาคม 2568 จนส่งผลกระทบต่อกำลังการผลิตโรงงานอุตสาหกรรมหีบปาล์มน้ำมัน ที่กำลังการผลิตไม่พอกับผลผลิตปาล์มน้ำมันที่ออกสู่ตลาด น่าจะกว่า 30,000 ตัน / วัน
“เพราะจากปัจจัยหนุนที่ผลผลิตปาล์มน้ำมันปริมาณเพิ่มขึ้นอีกส่วนหนึ่ง เพราะพื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมันที่ขยายตัวมากตั้งแต่ จ.นครศรีธรรมราช จ.พัทลุง และ จ.สงขลา ขณะที่โรงงานอุตสาหกรรมหีบยังคงที่ เป็นส่วนหนึ่ง นอกจากปัจจัยอื่น ๆ”
นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า โรงงานอุตสาหกรรมหีบปาล์มน้ำมันในภาคใต้ ที่มีอยู่โดยประมาณไม่เกิน 30 โรง ตั้งแต่ จ.พัทลุง ปัตตานี นราธิวาส นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี และ จ.กระบี่ โดยเฉพาะ จ.กระบี่ เป็นแหล่งโรงงานหีบปาล์มน้ำมันรายใหญ่ มีจำนวน 17 แห่ง และมีกำลังเต็มสายการผลิตประมาณ 1,000 ตัน / วัน / โรง จากจำนวน 17 แห่ง ประมาณ 17,000 ตัน / วัน แต่ปาล์มน้ำมันมีผลผลิตออกสู่ตลาดกว่า 30,000 ตัน / วัน
จนส่งผลให้ปาล์มน้ำมันล้นกำลังการผลิต ส่งผลให้ปาล์มน้ำติดค้างอยู่หน้าโรงงานหีบปาล์มน้ำมัน โดยติดค้างอยู่ประมาณ 3 คืน 2 วัน ส่งผลให้ปาล์มน้ำมันต้องปกระทบตากแดดที่กำลังรอคิวเทลงเข้าสู่โรงงานหีบปาล์มน้ำมัน น้ำหนักจึงได้ลดลงประมาณ 700 กก. – 800 กก. / พ่วง ขนาด 40 ตัน ได้ส่งผลกระทบต่อลานปาล์มน้ำมันในที่สุด โดยจะขาดทุนพ่วงละ 700 – 800 กก. / พ่วง มีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 5,000 บาท / พ่วง
“เจ้าของลานปาล์มน้ำมันจะได้ส่วนต่างจากการรับซื้อปาล์มน้ำมันประมาณ 20 – 30 สตางค์ / กก.หากมีการซื้อทุกวันก็จะขาดทุนทุกวัน จึงต้องชะลอการรับซื้อจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย”
นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า คาดการรณ์จากการสังเกตุผลปาล์มน้ำมันขณะนี้ประมาณว่าอีก 2 เดือน ในเดือนกรกฎาคม 2568 สถานการณ์ปาล์มน้ำมันจะคลี่คลาย และราคาน่าจะมีการปรับตัวในทิศทางที่ดี ซึ่งขณะนี้ ( 19/5/68) ราคาหน้าลานรับซื้อปาล์มน้ำมันที่ 4.10 บาท / กก.
“ปัจจัยเรื่องราคาปาล์มน้ำมันมีทั้งปัจจัยภายในและภายนอก เรื่องถั่วเหลือ ข้าวฟ่าง ที่ทดแทนปาล์มน้ำมัน และโดยเฉพาะเรื่องการแลกเปลี่ยนอันตราเงินตรากระทั่งนโยบายภาษีศุลกากรของสหรัฐ ฯลฯ”
นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า ปาล์มน้ำมัน เคยราคาปรับตัวลงเมื่อปี 2556 มาอยู่ที่กว่า 2.80 บาท / กก. ในขณะนั้นมีการชะลอการปลูกปาล์มน้ำมันระยะหนึ่ง ขนาดต้นกล้าปาล์มน้ำมันซื้อ 1 แถม 1 และประมาณว่าหากราคาปาล์มน้ำมันจะต่ำกว่า 4 บาท / กก. แนวทางเชื่อว่ารัฐบาลจะออกนโยบายประกันราคา เพราะปัจจุบัน ปาล์มน้ำมันต้นทุนการผลิตอยู่ที่ 2.50 บาท / กก. และ 3 บาท / กก. โดยราคาปุ๋ย 1,280 บาท / กระสอบ
นายสมศักดิ์ ได้กล่าวว่าเพิ่มเติมว่า สำหรับพื้นที่ จ.สงขลา คาบสมุทรสทิงพระ มี อ.สทิงพระ สิงหนคร กระสสินธุ์ และ อ.ระโนด มีพื้นที่พื้นที่เหมาะสมที่จะปลูกพืชเชิงซ้อนอันเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญ 3 ตัว เช่น ข้าว ปาล์มน้ำมัน และมะพร้าวทั้งมะพร้าวกะทิ และมะพร้าวมน้ำหอม ต้องคิดใหม่คือกระจายความเสี่ยงโดยการปลูกพืชทั้ง 3 ตัว ทั้งข้าว ปาล์มน้ำมัน และมะพร้าวกะทิและมะพร้าวน้ำหอม ซึ่งต่างมีราคาที่ดีในขณะนี้ทั้งมะพร้าวเครื่องกะทิ และมะพร้าวมน้ำหอม ราคา 18 บาท และ 20 บาท / ลูก
“เป็นการะจายความเสี่ยง หากปลูกพืชเชิงเดี่ยว ก็จะหลีกไม่พ้นที่จะพบกับความเสี่ยง” นายสมศักดิ์ กล่าว
นายโอภาส หนูชิต เจ้าของสวนปาล์มน้ำมัน จ.พัทลุง สมาชิกสภาเกษตรกรจังหวัดพัทลุง และประธานคณะอนุกรรมการกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรจังหวัดพัทลุง เปิดเผยว่า ภาวะปาล์มน้ำมันขณะนี้ ทางปาล์มน้ำมันรายใหญ่ของไทย จ.กระบี่ และ จ.สุราษฎร์ธานี อยู่ระหว่างการหารือเพื่อให้ตกผลึกเพื่อกำหนดทิศทางรูปแบบถึงรัฐบาล
นายโอภาส กล่าวอีกว่า สินค้าเกษตรเศรษฐกิจหลัก ซึ่งเป็นรากฐานใหญ่ของประเทศ ทั้งยางพารา ปาล์มน้ำมัน ข้าว และปศุสัตว์ บางตัวราคาต่างผันผวนเป็นไปตามกลไกการตลาดทั้งปัจจัยภายในและภายนอกที่ได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจภาพรวม
“สินค้าเศษฐกิจ 4 ตัวหลักรัฐบาลต้องรองรับการออกแบบของเกษตรกรอันรากฐานใหญ่สุดให้อยู่ในเกณฑ์ที่ดี ผลก็คือจะเกิดกำลังซื้อหมุนสะพัดที่ดีเป็นภาพรวมทั้งประเทศ เพราะภถภาคเกษตรกรมีกว่า 23.5 ล้านครัวเรือนทั้งประเทศ”