ล่าระทึก!แก๊งขนแรงงานเถื่อนเยียบมิดไมล์หวังซิ่งหลบหนีแต่ไม่รอด

ล่าระทึก!แก๊งขนแรงงานเถื่อนเยียบมิดไมล์หวังซิ่งหลบหนีแต่ไม่รอด





ad1

กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดย กองบังคับการตำรวจทางหลวง (บก.ทล.) ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ได้สั่งการให้ พล.ต.ต.คงกฤช เลิศสิทธิกุล ผบก.ทล., พ.ต.อ.แมน เม่นแย้ม, พ.ต.อ.บุญลือ ผดุงถิ่น รอง ผบก.ทล., พ.ต.อ.ชนกฤดิ พงษ์ศิริ ผกก.7 บก.ทล., พ.ต.ท.ธรรมศักดิ์ พลเดช และ พ.ต.ท.ฐิติวัสส์ แซมเขียว รอง ผกก.7 บก.ทล.

เจ้าหน้าที่ชุดจับกุม นำโดย พ.ต.ท.มนัสวี กะดะแซ สว.ส.ทล.5 กก.7 บก.ทล., ร.ต.อ.อนุวัฒน์ ณ ปัตตานี รอง สว.ส.ทล.5 กก.7 บก.ทล., ร.ต.ท.นิจิ นิกูโน รอง สว.(ป.) ส.ทล.5 กก.7 บก.ทล., ด.ต.ส่งเสริม ชูยังด้วงโยธา และ ส.ต.อ.ธุววิช ทอนชาติ ผบ.หมู่ ส.ทล.5 กก.7 บก.ทล.


ร่วมกันจับกุมผู้ต้องหา ๑๕ ราย ดังนี้
1. นายมูฮัมหมัดฯ อายุ 20 ปี
2. นายอัสฮาฯ อายุ 38 ปี
๓-๑๓. บุคคลต่างด้าว สัญชาติเมียนมา รวมจำนวน ๑๑ ราย
โดยกล่าวหาว่า ผู้ต้องหาที่ 1-2 กระทำความผิดฐาน “ร่วมกับพวกที่หลบหนีให้ที่พักพิง ซ่อนเร้น ให้การช่วยเหลือด้วยประการใดๆ แก่คนต่างด้าวที่เดินทางเข้ามาโดยผิดกฎหมาย เพื่อให้พ้นจากการจับกุมของพนักงานเจ้าหน้าที่” ตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522”
และ ผู้ต้องหาที่ 3-1๕ กระทำความผิดฐาน “เป็นคนต่างด้าวเดินทางเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักร โดยไม่ได้รับอนุญาต” ตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522”

พร้อมตรวจยึดของกลาง
1. รถยนต์กระบะ ยี่ห้อ ISUZU รุ่น D-MAX สีขาว ป้ายทะเบียนสุราษฎร์ธานี จำนวน 1 คัน (ผู้ต้องหาที่ 1 เป็นผู้ขับขี่)
2. รถยนต์กระบะ ยี่ห้อ ISUZU รุ่น D-MAX สีดำ ป้ายทะเบียนสงขลา จำนวน 1 คัน (ผู้ต้องหาที่ 2 เป็นผู้ขับขี่)
3. โทรศัพท์มือถือ จำนวน ๒ เครื่อง


สถานที่จับกุม ริมถนน 4066 ต.ตะโล๊ะหะลอ อ.รามัน จ.ยะลา

พฤติการณ์ สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมได้รับแจ้งเบาะเเสว่าจะมีขบวนการลักลอบขนแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายผ่านเข้ามายังประเทศไทยเเละพาส่งออกข้ามต่อไปยังประเทศมาเลยเซีย ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงเร่งทำการสืบสวนจนกระทั่งทราบข้อมูลสำคัญว่าขบวนการดังกล่าว จะใช้รถยนต์กระบะจำนวนหลายคันขับมาในลักษณะเป็นคาราวานผ่านเส้นทางในพื้นที่ อ.รามัน จ.ยะลา

ต่อมาทางเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมจึงได้ทำการลงพื้นที่เฝ้าติดตามรถยนต์ที่อยู่ในขบวนการขนเเรงงานต่างด้าวดังกล่าว จนกระทั่งพบรถยนต์กระบะคันต้องสงสัยคล้ายซุกซ่อนนำพาสิ่งของผิดกฎหมายจำนวน ๕ คันขับมาตามถนน ทล.43 ทิศทางมุ่งหน้าลงไปทางใต้ ทางเจ้าหน้าที่จึงวางกำลังตามเส้นทางที่คาดว่ารถยนต์ต้องสงสัยจะเคลื่อนที่ผ่าน จนกระทั่งพบรถยนต์กระบะ 5 คัน ขับขี่ผ่านจุดที่เจ้าหน้าที่วางกำลังไว้ หลังจากนั้นทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ขับติดตามไล่ล่ารถยนต์กระบะเพื่อให้หยุดรถ จนกระทั่งภายหลังสามารถสกัดจับรถยนต์กระบะ ยี่ห้อ ISUZU รุ่น D-MAX สีขาว ป้ายทะเบียนสุราษฎร์ธานี ซึ่งเป็นรถขับนำเพื่อเช็คเส้นทางได้จำนวน 1 คัน

โดยภายในรถพบมีนายมูฮัมหมัดฯ (ผู้ต้องหาที่ ๑) แสดงตนเป็นผู้ขับขี่ และสามารถสกัดจับรถยนต์กระบะ ยี่ห้อ ISUZU รุ่น D-MAX สีดำ ป้ายทะเบียนสงขลา ได้อีก 1 คัน โดยภายในรถพบนายอัสฮาฯ (ผู้ต้องหาที่ 2) เป็นผู้ขับขี่ และมีบุคคลต่างด้าว (ผู้ต้องหาที่ ๓-1๓) นั่งโดยสารมาด้วย

จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมจึงได้ทำการจับกุมผู้ต้องหาทั้ง ๑๓ ราย และได้นำตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลางนำส่งพนักงานสอบสวน สภ.จะกว๊ะ เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

ทั้งนี้ ในส่วนของรถยนต์กระบะอีก 3 คัน ที่อยู่ในขบวนการขนแรงงานต่างด้าวที่สามารถหลบหนีการจับกุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมไปได้ ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะดำเนินการติดตามตัวผู้กระทำความผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

สอบถามคำให้การผู้ต้องหาเบื้องต้น ผู้ต้องหาที่ 1-2 ให้การรับว่าได้รับการว่าจ้างจาก นายมะสุกรีฯ ให้มาขับรถยนต์กระบะไปรับคนต่างด้าวสัญชาติเมียนมาจำนวน 30 คน จากป่าละเมาะใกล้นิคมอุตสาหกรรม ฉลุง อ.บางกล่ำ จ.สงขลา ไปส่งที่ อ.ตากใบ จ.นราธิวาส โดยได้ค่าจ้างเที่ยวละ 5,000 บาท ซึ่งในการขนต่างด้าวดังกล่าวได้มีการกระจายให้ต่างด้าวนั่งในรถยนต์กระบะ ๓ คัน คันละประมาณ 10-11 คน นอกจากนี้ยังมีรถนำขบวนอีก 2 คัน ทำหน้าที่สำรวจเส้นทางและคอยเตือนเมื่อมีเจ้าหน้าที่ตำรวจตั้งด่าน โดยนายมะสุกรีฯ ผู้ว่าจ้างได้ขับรถนำขบวนและสามารถหลบหนีการจับกุมไปได้

ในส่วนของบุคคลต่างด้าวทั้ง 11 คน (ผู้ต้องหาที่ 3-13) ให้รับสารภาพว่าต้องการหลบหนีสงครามกลางเมืองภายในประเทศเมียนมา เพื่อเดินทางไปทำงานที่ประเทศมาเลเซีย โดยตกลงค่าใช้จ่ายกับนายหน้าสัญชาติเดียวกัน ในราคา 5,000 ริงกิตมาเลเซีย หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 35,000 บาท ซึ่งนายหน้าจะพาโดยสารด้วยรถยนต์สลับกับเดินเท้าผ่านเข้ามาทางช่องทางธรรมชาติข้ามมายังประเทศไทย จากนั้นจึงโดยสารซุกซ่อนมาในรถยนต์คันละประมาณ 11-12 คน โดยมีการแวะพักตามจุดต่างๆ เพื่อตรวจสอบการเฝ้าระวังสกัดกั้นของเจ้าหน้าที่เป็นระยะ โดยใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 วันเศษ กว่าจะเดินทางมาถึงสถานที่เกิดเหตุ และถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมได้ในที่สุด