ตำรวจทางหลวงสุพรรณบุรีสกัดจับแก๊งค้ามนุษย์ซุก 7 ด้าวอัดแน่นเต็มคันรถ

ตำรวจทางหลวงสุพรรณบุรีสกัดจับแก๊งค้ามนุษย์ซุก 7 ด้าวอัดแน่นเต็มคันรถ





ad1

กองบังคับการตำรวจทางหลวง (บก.ทล.) เจ้าหน้าที่ชุดจับกุม ร่วมกันจับกุม 1 ผู้ต้องหาลักลอบขนแรงงานเถื่อน และ 7 ผู้ต้องหา  บริเวณทางหลวงหมายเลข ๓๓๓ กม.๗๖ (ขาเข้า อ.อู่ทอง) หมู่ที่ 9 ต.วังคัน อ.ด่านช้าง จ.สุพรรณบุรีประกอบด้วย 1. นายชายชาญ อายุ ๓๒ ปีสัญชาติ ไทย ผู้ต้องหาที่ 1,0 2. นายเรซูวันอายุ ๒๒ ปีสัญชาติ  บังคลาเทศ ผู้ต้องหาที่ 2, 3. นายฟาราเบท อายุ ๒๒ ปี สัญชาติ  บังคลาเทศ   ผู้ต้องหาที่ 3,4. นายโมซัวเมียดอายุ ๑๘ ปี สัญชาติ  เมียนมาร์ผู้ต้องหาที่ 4, 5. นายมอมอเออายุ ๒๐ ปีสัญชาติ  เมียนมา ผู้ต้องหาที่ 5,6. นางตาเฮดะอายุ ๑๙ ปีสัญชาติ  เมียนมา  ผู้ต้องหาที่ 6 มีผู้ติดตามชื่อ เด็กหญิงนูซาเลกา อายุ ๙ ปี สัญชาติ เมียนมา,7. นางมาเอนุอายุ ๑๘ ปีสัญชาติ  เมียนมา ผู้ต้องหาที่ 7 มีผู้ติดตามชื่อ เด็กหญิงนูฟาเตมัส อายุ ๘ ปี สัญชาติ เมียนมา,8. นางมาลาเซ  อายุ ๑๘ ปี สัญชาติ  เมียนมา  ผู้ต้องหาที่ 8  มีผู้ติดตามชื่อ เด็กชายอากาซาดิ อายุ ๗ ปี  สัญชาติ เมียนมา

ในความผิดฐาน ผู้ต้องหาที่ 1 “ช่วยเหลือซ่อนเร้นหรือช่วยด้วยประการใดๆ ให้บุคคลต่างด้าวที่หลบหนีเข้ามาในราชอาณาจักรไทยโดยผิดกฎหมาย”ผู้ต้องหาที่ 2 – ๘ กระทำความผิดฐาน “เป็นบุคคลต่างด้าวหลบหนีเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรไทยโดยไม่ได้รับอนุญาต”พร้อมตรวจยึดของกลาง1. รถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล ยี่ห้อ โตโยต้า รุ่น วีโก้ สีเทา จำนวน 1 คัน2. กุญแจรถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล ยี่ห้อ โตโยต้า รุ่น วีโก้ สีเทา จำนวน 1 ดอก3. โทรศัพท์มือถือ จำนวน 1 เครื่อง
 
พฤติการณ์ สืบเนื่องจาก ส.ทล.6 กก.2 บก.ทล. ได้มีการสืบสวนจับกุมขบวนการนำพาหรือช่วยเหลือบุคคลแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายในเส้นทางพื้นที่ จ.สุพรรณบุรี อยู่บ่อยครั้ง โดยสืบทราบว่าจะมีการลักลอบนำพาบุคคลต่างด้าวหลบหนีเข้ามาในราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมาย โดยใช้เส้นทางต้นทางจาก ต.วังเจ้า อ.วังเจ้า จ.ตาก ผ่าน จ.กำแพงเพชร-จ.นครสวรรค์-จ.อุทัยธานี โดยเมื่อมาถึง จ.สุพรรณบุรี จะใช้เส้นทางหลวง 333 ด่านช้าง – อู่ทอง เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ออกตรวจสังเกตการณ์ในเขตพื้นที่ตามที่ได้รับแจ้ง โดยได้ตรวจพบ รถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล ยี่ห้อ โตโยต้า รุ่น วีโก้ สีเทา ขับขี่มาตามถนนด่านช้าง - อู่ทอง ทางหลวงหมายเลข ๓๓๓ ซึ่งมีลักษณะบรรทุกสิ่งของหนัก มีน้ำหนักมากกว่ารถยนต์ปกติ สอดคล้องต้องสงสัยว่ามีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับการขนย้ายแรงงานต่างด้าว เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ขับขี่ติดตามรถยนต์คันดังกล่าวในระยะประชิด

และได้แสดงตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจโดยให้สัญญาณเจ้าพนักงานจราจร ด้วยการเปิดสัญญาณไฟไซเรน และใช้สัญญาณเสียงรวมถึงการพูดออกคำสั่งผ่านไมโครโฟน เพื่อให้รถคัน  ดังกล่าวหยุดเพื่อทำการตรวจค้น จากการตรวจสอบปรากฏว่าพบ นายชายชาญฯ (ผู้ต้องหาที่ 1/ทราบชื่อภายหลัง) แสดงตนเป็นผู้ขับขี่รถยนต์คันกล่าว และภายในรถยนต์พบผู้ต้องหาที่ 2-๘ นั่งอยู่ภายในบริเวณช่องว่างด้านหลังผู้ขับขี่ภายในรถยนต์คันดังกล่าว เจ้าหน้าที่จึงได้ให้ผู้ต้องหาที่ 2-๘ แสดงเอกสารหลักฐานประจำตัว แต่ทั้งหมดไม่มีเอกสารยืนยันตัวตนที่ราชการออกให้ และจากการสอบถามผู้ต้องหาที่ 2-๘ ไม่สามารถสื่อสารหรือพูดภาษาไทยได้ จึงได้ตรวจสอบเอกสารโดยละเอียดอีกครั้ง จากการตรวจสอบปรากฏว่าทั้งหมดไม่มีหนังสือเดินทางหรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางแต่อย่างใดมาแสดงต่อเจ้าหน้าที่

จากการสอบถามผู้ต้องหาที่ 1 ให้การรับสารภาพว่าได้ขับขี่รถยนต์คันดังกล่าว ไปรับผู้ต้องหาที่ 2 - ๘ ภายในป่าละเมาะใน ต.เชียงทอง อ.วังเจ้า จ.ตาก (ไม่ทราบเลขที่ถนน) ซึ่งมีชายไทย ไม่ทราบชื่อ-สกุลจริง ติดต่อให้ไปรับผู้ต้องหาที่ 2 - ๘ ในบริเวณดังกล่าว เมื่อได้รับมาแล้ว นายชายชาญฯ ให้การว่าได้เดินทางออกจากจังหวัดตาก ผ่านจังหวัดกำแพงเพชร, อุทัยธานี, จนมาถึงจังหวัดสุพรรณบุรี โดยการลักลอบขนย้ายบุคคลต่างด้าวในครั้งนี้ มีรถที่ร่วมขบวนการขนย้ายบุคคลต่างด้าวจำนวน 2 คัน เป็นรถนำเพื่อดูเส้นทางหลบหนีและจุดสกัดของเจ้าหน้าที่ตำรวจ จำนวน 1 คัน และเป็นรถที่ใช้ขนย้ายแรงงานต่างด้าว จำนวน 1 คัน การเดินทางจะใช้เป็นการขับขี่ตามกันมาโดยการทิ้งระยะห่างเป็นช่วงๆ ห่างประมาณ 1-2 กม. ซึ่งผู้ต้องหาที่ 1 รับว่าได้ลักลอบขนย้ายบุคคลต่างด้าวครั้งนี้เป็นครั้งที่สาม ได้ค่าตอบแทนเป็นเงินจำนวนรายละ ๑,000 บาท (จะได้รับค่าตอบแทนทั้งหมดเป็นเงิน จำนวน ๑๐,000 บาท หากเสร็จสิ้นการขนย้ายบุคคลต่างด้าว)

จากการสอบถามบุคคลต่างด้าว/ผู้ต้องหาที่ ๗ โดยมีอาสาสมัครล่าม แปลภาษาเมียนมาร์ ในการสอบถาม ให้การยอมรับว่า ผู้ต้องหาที่ ๒ - ๘ ได้เดินทางมาจากเมืองเมียวดี ประเทศเมียนมาร์ เข้ามาทางช่องทางธรรมชาติ จ.ตาก จากนั้นเดินเท้าต่ออีกประมาณ ๓๐ นาที โดยมีรถยนต์กระบะมารับที่บริเวณป่ารกชัฎ เพื่อเดินทางต่อไป ซึ่งบุคคลต่างด้าวทั้งหมด มีการติดต่อกับนายหน้าฝั่งประเทศไทยและประเทศเมียนมาร์หลายคน โดยผู้ต้องหาที่ 2 - ๘ จะต้องจ่ายเงินเป็นค่าการเดินทางเข้ามาในประเทศไทย จำนวนประมาณ ๑๐,000 บาท โดยได้จ่ายเงินให้นายหน้าชาวเมียนมาร์เป็นผู้รวบรวมเงินจากฝั่งประเทศเมียนมาร์ก่อนออกเดินทางหลบหนีเข้าประเทศไทย

เจ้าหน้าที่ชุดจับกุม จึงแจ้งให้ทุกคนทราบว่า การกระทำดังกล่าวมีความผิด จะต้องถูกจับกุมโดยแจ้งข้อกล่าวหาว่า ผู้ต้องหาที่ 1 “ช่วยเหลือซ่อนเร้นหรือช่วยด้วยประการใดๆ ให้บุคคลต่างด้าวที่หลบหนีเข้ามาในราชอาณาจักรไทยโดยผิดกฎหมาย” ผู้ต้องหาที่ 2 – ๘ กระทำความผิดฐาน “เป็นบุคคลต่างด้าวหลบหนีเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรไทยโดยไม่ได้รับอนุญาต” และนำตัวผู้ต้องหาพร้อมด้วยของกลาง ส่งพนักงานสอบสวน สภ.ด่านช้าง เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย