“พิธา”ลั่นอาจไม่ได้เป็นนายกฯ ที่สมบูรณ์แบบแต่จะเป็นนายกฯที่ขยันที่สุด

“พิธา”ลั่นอาจไม่ได้เป็นนายกฯ ที่สมบูรณ์แบบแต่จะเป็นนายกฯที่ขยันที่สุด





ad1

เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2566 พรรคก้าวไกลจัดกิจกรรม ‘ขอบคุณประชาชน ฟังเสียงทุกคนก่อนโหวตนายกฯ’ ที่ลานหน้าเซ็นทรัลเวิลด์ โดยบรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก มี ส.ส. พรรคก้าวไกล รวมถึงบุคคลที่มีชื่อเสียงร่วมงาน เช่น ยุทธนา บุญอ้อม หรือ ‘ป๋าเต็ด’ พิธีกรชื่อดัง และ วีรพร นิติประภา นักเขียนรางวัลซีไรต์ โดยแม้บริเวณงานจะมีฝนโปรยปรายลงมา แต่ประชาชนยังคงปักหลักจนเต็มพื้นที่ รอฟังการปราศรัยของพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล รวมถึงแขกรับเชิญพิเศษที่มาร่วมเวทีเพื่อสนับสนุนพิธาเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย ตามมติของประชาชนที่สะท้อนผ่านผลการวันเลือกตั้งเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม

ทั้งนี้ แขกรับเชิญคนแรก คือ นางทิชา ณ นคร นักสิทธิเด็กและสตรี อดีตสมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ได้กล่าวเชิญชวน ส.ว. ให้โหวตเลือกนายกฯ ในวันที่ 13 กรกฎาคมโดยเคารพต่อเสียงของประชาชนว่า ขอให้ ส.ว. เคารพต่อเจตจำนงของประชาชนที่ได้ตัดสินใจเลือกพรรคก้าวไกลไปแล้ว ปล่อยให้ระบบประชาธิปไตยดำเนินไปตามครรลอง ส.ว. ไม่มีหน้าที่คัดค้าน หรือทำให้ความฝันความหวังของประชาชนดับสิ้นลงเหมือนหลายปีที่ผ่านมา

“นายกฯ คนที่ 30 ต้องเป็นนายกฯ ของคนไทยทุกคน ครั้งนี้ประเทศไทยกำลังจะรีสตาร์ทระบบประชาธิปไตยครั้งยิ่งใหญ่ เป็นการเดิมพันด้วยปัญญา ด้วยหัวใจ และด้วยศรัทธาของผู้คนมหาศาล จึงมีพลังพอที่จะลบบาดแผล ลบความบอบช้ำของสังคมไทยซึ่งมีมายาวนาน ดิฉันเชื่อและมีความหวังว่าประวัติศาสตร์การเมืองไทยจะบันทึกว่านายกฯ คนที่ 30 ของประเทศไทย ชื่อพิธา ลิ้มเจริญรัตน์” นางทิชากล่าว

นางทิชา กล่าวด้วยว่า เมื่อนายพิธาเป็นนายกฯ มีความหวังและความเชื่อว่าจะนำระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ไปรับมือกับกระแสแห่งความเปลี่ยนแปลงของโลก จึงขอให้ทุกการตัดสินใจของ ส.ว. ที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 13 กรกฎาคม เป็นการตัดสินใจอย่างกล้าหาญ มีวิสัยทัศน์ และยินดีให้คนหนุ่มสาวนำทาง เพื่อให้ระบอบประชาธิปไตยของประเทศนี้ เปลี่ยนเป็นประวัติศาสตร์ที่สง่างาม มีคุณค่า สำหรับลูกหลานของพวกเราทุกค

จากนั้น นายพิธาขึ้นปิดท้ายเวที กล่าวว่า เหลือเวลาเพียง 4 วันเท่านั้น จะเป็นเวลาประวัติศาสตร์ ทั่วโลกกำลังจับตาดูว่าประเทศไทยจะเดินไปทิศทางไหน เป็นเรื่องของนักการเมืองทั้ง 2 สภา ที่ต้องตัดสินใจร่วมกันว่าอนาคตของประเทศไทยจะเป็นอย่างไร ถ้าเราตัดสินใจถูกต้อง ให้โอกาสประเทศไทยอยู่กับอนาคต ประเทศไทยจะเจริญไม่เป็นสองรองใคร แต่ถ้าเราเลือกผิด ฝืนมติประชาชน ทำให้ความไม่ปกติของการเมืองไทยคงอยู่ต่อไป ตนไม่รู้ว่าโอกาสทองแบบนี้จะมาอีกครั้งเมื่อไร

การคืนความปกติให้การเมือง เริ่มต้นมาตั้งแต่วันที่ 14 พฤษภาคม ที่ประชาชนออกมาใช้สิทธิ์ทั่วประเทศ ให้คะแนนพรรคก้าวไกลกว่า 14 ล้านเสียง ให้คะแนนพรรคเพื่อไทยกว่า 10 ล้านเสียง รวม 8 พรรคเสียงข้างมากกว่า 27 ล้านเสียง หรือกว่า 70% ของผู้มาใช้สิทธิ์ คนไทยออกมาบอกแล้วว่าประเทศไทยต้องไม่เหมือนเดิม แต่ตลอดสองเดือนที่ผ่านมา เพราะความไม่ปกติของการเมืองไทยที่มาจากรัฐธรรมนูญ 2560 การยึดอำนาจ นิติสงคราม การยุบพรรค ทำให้การเลือกตั้งที่ดูเหมือนจะเสร็จสิ้น กลับไม่เสร็จเสียที

“ครั้งนี้คือโอกาสประวัติศาสตร์ที่สมาชิกทั้ง 750 คนในรัฐสภาจะคืนความปกติให้การเมืองไทย ให้ประเทศไทยเดินหน้า ให้เราเท่าเทียมกันและเท่าทันโลก” นายพิธา กล่าว

หัวหน้าพรรคก้าวไกลระบุต่อว่า ตนขอส่งสารไปถึงประชาชน เราพิสูจน์แล้วว่าไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้ ถ้าพวกเราร่วมมือกัน วันที่ 13 กรกฎาคม ตนพร้อมเป็นนายกฯ ของทุกคน ขอให้พิธาได้รับใช้ประชาชนทุกคน รวมถึงขอส่งสารถึงเพื่อน ส.ส. เราต่างผ่านความไม่ปกติของระบบการเมืองไทย การตัดสินใจของท่านสามารถคืนความปกติให้ประเทศไทย อย่าพลาดโอกาสนี้ เพราะประชาชนอาจหมดศรัทธาในผู้แทนราษฎรและระบบรัฐสภา ดังนั้นอย่าให้ประชาชนต้องผิดหวัง ส่วน ส.ว. แม้ว่าที่มาของเราจะแตกต่างกัน แต่เราคือนักการเมืองของประชาชนเหมือนกัน ตนขอแสดงความชื่นชมในความกล้าหาญของ ส.ว. ที่บอกว่าจะเป็น ส.ว. ของประชาชน ที่จะลงมติตามเสียงข้างมาก ไม่โหวตสวนมติของประชาชน

“เมื่อผมได้พูดคุยกับ ส.ว. พวกเขาก็เป็นห่วงชาติบ้านเมือง ต้องการทำให้เศรษฐกิจดี ต้องการแก้ไขปัญหาต่างๆ ไม่ต่างจากผม ดังนั้น หลังจากที่ผมเป็นนายกฯ ขออนุญาตปรึกษาและทำงานกับ ส.ว. ในหนึ่งปีสุดท้ายของท่าน ทำงานร่วมกันเพื่อประชาชนเท่านั้น” พิธากล่าว

ในช่วงท้าย นายพิธา กล่าวว่า ตนอาจไม่ได้เป็นนายกฯ ที่สมบูรณ์แบบ แต่จะเป็นนายกฯ ที่ขยันที่สุด ตนไม่มีคำตอบกับทุกเรื่องที่เป็นความท้าทายใหม่ๆ ของโลก ไม่ว่าจะเป็น โรคอุบัติใหม่ สังคมสูงวัย ภาวะโลกร้อน ไม่มีใครในประเทศไทยที่มีประสบการณ์แก้ปัญหาเหล่านี้ แต่ขอสัญญาว่าเมื่อคิดวิธีแก้ปัญหาเรื่องใดไม่ออก ตนจะกลับมาหาประชาชน รับฟังและพูดคุยกับประชาชน ทำเพื่อประชาชน

“ผมสัญญาไม่ได้ว่าการเดินทางของพวกเราจะราบรื่น ทุกอย่างย่อมมีอุปสรรค แต่ตราบใดพวกเรายังเดินด้วยกัน รับรองว่าจะคุ้มค่าแน่นอน ยืนยันไม่มีเหน็ดเหนื่อย ไม่ท้อ ถึงเวลาที่ประเทศนี้ต้องขับเคลื่อนด้วยความหวัง พอกันทีกับความกลัว วันนี้แม้ยังมีความมืด แต่ผมให้สัญญาว่าพรุ่งนี้จะเป็นวันของประชาชนที่สว่างไสว ขอให้เราร่วมมือกัน เปลี่ยนประเทศไทยและเปลี่ยนโลกใบนี้ไปด้วยกัน” พิธากล่าว