ศธ.จังหวัดปัตตานีลงพื้นที่ออกตรวจเยี่ยมโรงเรียนวันเปิดเทอมใหม่


ปัตตานี-ศึกษาธิการจังหวัดเดินสายออกตรวจเยี่ยมโรงเรียนวันเปิดเทอมใหม่ ขณะที่โรงเรียนอนุบาลปัตตานียังคงแบนฮีญาบเข้าเรียนแม้ศาลปกครองพิพากษาแล้วก็ตาม
ศึกษาธิการจังหวัดปัตตานี ออกตรวจสถานศึกษาในจังหวัด เน้นย้ำการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโควิด19วันเปิดเทอม วันแรก ของการเปิดภาคเรียนภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 ซึ่งเป็นการเรียนการสอนแบบ On-Site วันแรก หลังจากที่ได้เกิดการแพร่ระบาดของโควิด19 มากว่า 2 ปี ดร.ศักดิ์จิต มาศจิตต์ ศึกษาธิการจังหวัดปัตตานี พร้อมทีมศึกษานิเทศก์ ได้ออกสุ่มตรวจเยี่ยมสถานศึกษาในจังหวัดปัตตานี ทั้งโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดอาชีวศึกษา และโรงเรียนระดับประถมศึกษา
ซึ่งพบว่า ส่วนใหญ่สถานศึกษาได้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด19 อย่างเคร่งครัด เช่นการเว้นระยะห่าง การตรวจวัดอุณหภูมิ การล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ บางโรงเรียนได้จัดให้ผู้ปกครองลงทะเบียนเมื่อนำเด็กเล็กมาส่งที่ห้องเรียน ซึ่งได้รับความร่วมมือจากทุกคน ปฏิบัติตามมาตรการที่สถานศึกษาจัดขึ้นด้วยความเต็มใจ
ขณะเดียวกันน้องฮัฟซะห์ ก็ยังคงเดินหน้าแต่งกายชุดสวมฮีญาบมาเรียนวันแรกที่โรงเรียนอนุบาลปัตตานี แสดงความดีใจที่ได้กลับไปเรียนที่โรงเรียนอีกครั้งแล้ว หลังจากต้องเรียนออนไลน์ ข้ามชั้นปีโดยไม่ได้เจอกับเพื่อนๆเลย น้องฮัฟซะห์ เป็นนักเรียนมุสลิมหนึ่งในสองคนจากยี่สิบคนแรกที่ศาลปกครองให้การคุ้มครองชั่วคราวที่สามารถสวมชุดฮีญาบมาเรียนได้ในโรงเรียนอนุบาลปัตตานีแห่งนี้ เพราะเพื่อนๆที่เหลือได้จบเรียนในระดับชั้นประธมศึกษาที่นี่แล้วไปเรียนต่อในชั้นมัธยมต่อในโรงเรียนต่างๆ
ถึงแม้ก่อนหน้านี้การสวมฮีญาบของเด็กนักเรียนอนุบาลปัตตานีแห่งนี้เคยเป็นประเด็นพิพากษ์ระหว่างผู้ปกครองมุสลิมกับทางผู้บริหารโรงเรียนฯหลังจากกรรมการศึกษาไม่ยินยอมให้นักเรียนมุสลิมคลุมศีรษะหรือสวมฮีญาบตั้งๆที่การคลุมฮีญาบตามแบบฉบับนักเรียนมุสลิมนั้นไม่ได้ผิดหรือขัดต่อกฎระเบียบของกระทรวงศึกษาธิการแต่อย่างใด แต่กลับถูกอ้างว่าโรงเรียนอนุบาลแห่งนี้สร้างขึ้นในที่ดินของวัดจึงกลายเป็นโรงเรียนของวัด ทั้งที่หลักความจริงแล้วที่ส่วนหนึ่งเป็นที่ดินของพี่น้องมุสลิมตระกุลระเด่นอะหมัดร่วมบริจาคอีกด้วย จึงเป็นประเด็นพิพากษ์ยืดเหยือจนถึงทุกวันนี้ จนกระทั่งเมื่อปี 2561ที่ผ่านมา ผู้ปกครองของนักเรียนจำนวน20 คน ที่กำลังเรียนในโรงเรียนอนุบาลแห่งนี้ ขณะนั้นต้องยื่นฟ้องศาลปกครอง เพื่อให้มีการคุ้มครองนักเรียนทั้ง 20 คน สามารถสวมผ้าคลุมศีรษะหรือคลุมฮีญาบได้ตามปกติ และได้รับการคุ้มครองจากคำสั่งของศาลปกครองทันที ปัจจุบันนักเรียนดังกล่าวยังคงเหลืออีก 2 คน
จนกระทั่งล่วงเลยระยะเวลา 4 ปี ที่รอคอยกรณีพิพากษ์เรื่องคลุมฮีญาบในโรงเรียนอนุบาลปัตตานีแห่งนี้ระหว่างผู้บริหารสถานศึกษากับผู้ปกครอง ล่าสุดเมื่อวันที่21 เมษายน2565 ที่ผ่านมา ศาลปกครองจังหวัดยะลาได้อ่านคำสั่งพิพาษาให้นักเรียนสามารถสวมชุดฮีญาบได้ สร้างความปลื้มปิติยินดีให้กับเด็กนักเรียนและผู้ปกครองเป็นอย่างมากหลังจากได้รับคืนความเป็นธรรม ที่นักเรียนมุสลิมจะได้แต่งชุดฮีญาบพร้อมกันได้อย่างภาคภูมิ เกียรติและศรักดิ์ศรีในเปิดเทอมใหม่นี้
โดยศาลให้เหตุผลว่า”โรงเรียนอนุบาลซึ่งเป็นโรงเรียนที่ดำเนินโดยภาครัฐในสังกัดผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 เป็นการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน ไม่ได้ดำเนินการโดยสถาบันทางศาสนาหรือเป็นโรงเรียนสอนศาสนาโดยศาสนจักรทีมีวัตถุประสงต์หลักเพื่อศาสนา หรือหลักปฏิบัติในทางศาสนาที่จำต้องรักษาอัตลักษณ์ของศาสนาไว้
ด้วยเหตุนี้ปรกติประเพณีของโรงเรียนอนุบาลปัตตานีในฐานะเป็นการจัดการทำบริการสาธารณะอย่างหนึ่งของรัฐที่ตามปกติต้องมีความเป็นกลางทางศาสนา คือต้องแยกศาสนาออกจากการปกครองหรือการจัดทำการบริการสาธารณะ ต้องให้โอกาสแก่พลเมืองที่อยู่ในวัยเรียนในทุกเชื้อชาติ ศาสนาได้มีโอกาสในการเข้ารับการศึกษาโดยเสมอภาคกัน ภายใต้การปฏิบัติตามหลักศาสนาหรือความเชื่อของตน ตามสิทธิ เสรีภาพขั้นพื้นฐาน ตราบเท่าทีมีการปฏิบัติตามหลักศาสนาหรือความเชื่อนั้นไม่ได้เป็นปัญหา อุปสรรคต่อการเรียน การสอนอย่างร้ายแรง จนไม่อาจจัดการเรียนการสอนได้หรือขัดต่อความไม่สงบเรียบร้อยหรือศิลธรรมอันดีของประชาชนหรือละเมิดต่อสิทธิเสรีภาพของบุคคลอื่นหรือมีผลต่อสุขอนามัย”
แต่ความฝันเหล่านั้นได้ล้มสลายอีกครั้งหลังจากที่ทางผู้บริหารโรงเรียนอนุบาลปัตตานี เหมือนจะไม่ลดละความพยายามเดินหน้ายื่นอุทธรณ์คำสั่งของศาลปกครองและมีการติดประกาศของโรงเรียนอนุบาลปัตตานี โดยอ้างกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานโรงเรียนอนุบาลปัตตานีในคราวประชุมครั้งที่2/2565เมื่อวันที่3พฤษภาคม2565มีมติให้อุทธรณ์คำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่9/2565คดีหมายเลขแองที่17/2565 ด้วยคดีอยู่ในระหว่างอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุดคดีจึงไม่ถึงที่สุด จนกว่าศาลปกครองสูงสุดจะมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์
ด้วยเหตุผลข้างต้นทางผู้บริหารโรงเรียนจึงยังไม่อนุญาติให้นักเรียนมุสลิมที่เรียนในโรงเรียนอนุบาลปัตตานีคลมฮีญาบไปเรียนได้ ยกเว้น 20 คนแรกที่ได้รับการคัมครองชั่วคราวจากศาลให้สามารถคลุมสวมชุดฮีญาบมาเรียนได้ ปัจจุบันยังคงเหลือ 2 คน แม้ก่อนหน้านี้ศาลปกครองยะลาอ่านคำสั่งพิพากษาให้สามารถคลุมฮีญาบได้แล้วก็ตาม สร้างความไม่พอใจให้กับพี่น้องมุสลิมในพื้นที่ต่อท่าทีของผู้บริหารและกรรมการศึกษาแห่งนี้
พี่น้องมุสลิมร่วมส่งกำลังใจน้องที่ยังยืนยัดในสิทธิปฏิบัติตามความเชื่อของหลักศาสนาอิสลามและปฏิบัติตตามกฎระเบียบของกระทรวงศึกษาธิการอย่างเคร่งครัด ผ่านเพจ ผ่านสังคมออนำลน์ ทราบข่าวว่าขณะนี้เหลือเพียง2คนจาก20คนแรกที่ได้รับการคุ้มครองของปกครอง เพราะเรียนจบกันหมดแล้ว ๆไปเรียนต่อชั้นมัธยมในสถาบันต่างๆจึงมีการแสดงความเห็นต่างๆนานา บางความเห็นอยากถามผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองนี้ ที่มักอ้างมาตลอดว่า"เป็นดินแดนต้นแบบของเมืองพาหุวัฒนธรรม"ตกลงมันมีจริงไหม หรือแค่สร้างภาพ เป็นห่วงกับอนาคตจริงๆ ไม่รู้ว่าจะกลายเป็นน้ำผึ้งหยดเดียว เพราะสิทธิขั้นพื้นฐานยังต้องขอให้ศาลปกครองคุ้มครอง
ในเมื่อวัดเขาอ้างเป็นโรงเรียนของวัด และมีกฎกติกาให้ตามพระสงฆ์ ที่ไม่ใช่กฎกระทรวงศึกษา ทางออกที่สง่างามที่สุดจังหวัดปัตตานีน่าจะต้องย้ายโรงเรียนอนุบาลประจำจังหวัดปัตตานีไปสร้างในสถานที่แห่งใหม่ เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง ในการรักษาสิทธิของลูกหลานชาวปัตตานีที่นำส่งลูกหลานเข้ามาเรียนในโรงเรียนอนุบาลของรัฐที่มีคุณภาพในระดับจังหวัดได้อย่างเสมอภาพ