ไทย-บีอาร์เอ็นถกลับ 3 เด็นคืนสันติสู่ชายแดนใต้ยั่งยืน

ไทย-บีอาร์เอ็นถกลับ 3 เด็นคืนสันติสู่ชายแดนใต้ยั่งยืน





ad1

คณะพูดคุยเพื่อสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ นำโดยพลเอก วัลลภ รักเสนาะ หัวหน้าคณะพูดคุยเพื่อสันติสุขฯ พร้อมด้วย พลโทเกรียงไกร ศรีรักษ์ แม่ทัพภาคที่ 4 พลโทธิรา  แดหวา แม่ทัพน้อยที่ 4 พลโท สวัสดิ์  ชนะจิตราสกุล นายฉัตรชัย บางชวด รองเลขาธิการ สมช.พล.ต.ต.มณฑล  บัวจีบ นายพลเทพ  ธนโกเศศ และนางสาววันรพี  ขาวสะอาด ร่วมแถลงข่าว สรุปผลความคืบหน้าการพูดคุยเพื่อสันติสุขหลังจากร่วมประชุมหารือกับคณะผู้แทนกลุ่มแนวร่วมปฏิวัติแห่งชาติ หรือ BRN  ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ระหว่างวันที่ 11-12มกราคม 2565 ย้ำการพูดคุยคืบหน้าทั้ง 2 ฝ่ายร่วมกำหนดสารัตถะ 3 ข้อ คาดปีนี้เห็นผลคืบหน้าอย่างเป็นรูปธรรม 

พลเอก วัลลภ รักเสนาะ หัวหน้าคณะพูดคุยเพื่อสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ กล่าวว่า ผลการพูดคุยเมื่อวันที่ 11 และ12 มกราคม ที่ผ่านมา ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย โดยคณะพูดคุยเพื่อสันติสุขฝั่งไทยและคณะผู้แทน BRN นำโดยอุสตาส อานัส อับดุลเราะห์มานและคณะ โดยมี  นายตันซรี อับดุล ราฮิม บิน โมฮัมหมัด นอร์ เป็นผู้อำนวยความสสะดวกการพูดคุย และมีผู้เชี่ยวชาญร่วมสังเกตการณ์อีก  2 คน ซึ่งบรรยากาศเป็นไปด้วยดีทั้ง 2 ฝ่าย มีท่าทีที่มีมิตรไมตรีต่อกัน 

ทั้งนี้หลังจากสถานการณ์โควิดทำให้กระบวนการพูดคุยประสบปัญหาในการเดินทางไปประชุมพูดคุยพบปะไม่สามารถดำเนินการได้ ทำให้การพูดคุยเกิดการชะลอไป แต่ทั้งสองฝ่ายได้พยายามสานต่อกระบวนการพูดคุยเพื่อสันติสุขผ่านทั้งออนไลน์ รวมถึงการติดต่อสื่อสารผ่านช่องทางต่างๆ เพื่อให้การพูดคุยมีความคืบหน้าต่อเนื่อง จนนำไปสู่การผลักดันให้เกิดการประชุมแบบ Face to Face ที่ประเทศมาเลเซียระหว่างวันที่  11-12 มกราคม 2565  โดยผลการหารือจากการประชุมดังกล่าวมีข้อสรุปใน  3 ประเด็นหลัก ดังนี้ 

ประเด็นแรก คือ
ทั้งสองฝ่ายได้พูดคุยหารือและเห็นพ้องกันในเรื่องหลักการทั่วไปในกรอบสารัตถะ 3 เรื่อง คือ
1.การลดความรุนแรง                      
2.การปรึกษาหารือของประชาชนในพื้นที่
3.การแสวงหาทางออกทางการเมือง

ทั้ง 3 เรื่องเป็นไปตามเจตนารมณ์และความต้องการของพี่น้องประชาชนในพื้นที่ และครอบคลุมทุกปัญหาที่เกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้  นั่นคือการอยากเห็นความสงบสุขในพื้นที่ การใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุข และการเข้ามามีส่วนร่วมของภาคประชาชน รวมทั้งอยากเห็นรัฐบาลแก้ไขปัญหาที่รากเหง้าอันจะนำไปสู่การสร้างสันติสุขอย่างถาวรยั่งยืนต่อไป

ประเด็นที่ 2 การจัดตั้งกลไก เพื่อมาขับเคลื่อนประเด็นสารัตถะของการพูดคุย โดยมีการพิจารณาที่จะจัดตั้งผู้ประสานงาน Joint working  group ขึ้นมาในแต่ละประเด็น โดยเฉพาะประเด็น การลดความรุนแรงและการเข้ามาปรึกษาหารือในพื้นที่ ส่วนประเด็นการแสวงหาทางออกทางการเมือง ซึ่งเป็นประเด็นที่มีความซับซ้อนและละเอียดค่อนข้างมาก ก็จะใช้ลักษณะการจัดตั้ง Joint  study  group เข้ามาเพื่อศึกษาในรายละเอียดหาแนวทางที่เหมาะสม 

ทั้งนี้ การจัดตั้งดังกล่าวจะมีลักษณะเป็นแบบกึ่งทางการ ที่สามารถพบปะหารือติดต่อพูดคุยกันได้โดยตรง เพื่อกำจัดจุดอ่อนในช่วงที่เกิดสถานการณ์โควิด 19  ระบาด ที่ทำการประชุมอย่างเป็นทางการทำได้ค่อนข้างยาก การจัดตั้งลักษณะนี้ก็จะช่วยผลักดันให้ประเด็นสารัตถะต่างๆ คืบหน้าไปได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น 

ประเด็นที่ 3 ซึ่งเป็นประเด็นที่คณะพูดคุยสันติสุขฝ่ายไทยได้หยิบยกขึ้นมา  คือ การลดกิจกรรมความรุนแรงลงของทั้ง  2 ฝ่าย โดยความสมัครใจ เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เกื้อกูลต่อการพูดคุยในครั้งต่อไป รวมทั้งต้องการให้ประชาชนในพื้นที่ได้ตระหนักถึงประโยชน์ของการพูดคุยที่จะก่อให้เกิดความสงบสุขขึ้นในพื้นที่  โดยคณะพูดคุยฝั่งไทยและกองทัพภาคที่ 4 ได้มีการเตรียมการในเรื่องดังกล่าวไว้บางส่วนแล้ว 

อย่างไรก็ตาม การพูดคุยครั้งต่อไป ได้มีการหารือในที่ประชุมว่า  จะมีการพูดคุยกัน 2-3 เดือนต่อครั้ง ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์โควิดด้วย 

นอกจากนี้ พลเอกวัลลภได้กล่าวทิ้งท้ายโดยยืนยันว่า คณะพูดคุยได้มุ่งมั่นดำเนินการตามนโยบายรัฐบาล ในการขับเคลื่อนผลักดันให้กระบวนการพูดคุยเป็นหนทางที่สามารถสร้างสันติสุขในพื้นที่ได้อย่างยั่งยืน พร้อมคำนึงถึงการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ทั้งฝ่ายผู้เห็นต่างทุกกลุ่ม ไม่เฉพาะแต่กลุ่มขบวนการ  BRN รวมถึงภาคประชาชน เพื่อมาแสวงหาทางออกร่มกันต่อไป 

โดยตลอดในห้วง 2 ปีที่มีการพูดคุยกับกลุ่ม BRN จากช่วงแรกที่มีความไม่วางวางใจกันจนถึงขณะนี้ เริ่มมีความเชื่อมั่นกันพอสมควร ผลจากการพูดคุยครั้งนี้ ถือว่ามีความก้าวหน้าที่ดีมาก  นำมาสู่การกำหนดหัวข้อประเด็นสารัตถะกันได้  ถือเป็นก้าวสำคัญที่ทำให้กระบวนการพูดคุยดำเนินไปได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น โดยหนึ่งปีหลังจากนี้คาดว่าจะมองเห็นความคืบหน้าอย่างเป็นรูปธรรมชัดเจนมากขึ้น โดยเฉพาะการลดความรุนแรง และการเข้ามาปรึกษาหารือในพื้นที่ หลังจากนี้ คณะพูดคุยจะต้องเร่งสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่ให้รับทราบ คาดว่าภายใน 2 ปีนี้จะเห็นความคืบหน้าในการพูดคุยเรื่องการแสวงหาทางออกทางการเมืองได้ต่อไป