25 ธ.ค. 2565 นายชูวิ ทย์ กมลวิศิษฎ์ นักวิ่งสู้ฟัด ต่อสู้กับขบวนการจีนเทาสุดฤทธิ์ ได้กล่าวถึงระบบยุติธรรม ที่ตนเองเคยมีประสบการณ์มาเกือบ 20 คดี บางคดีถึงทนายกระซิบว่าชนะแน่ แต่ตนก็ยอมรับสารภาพ เพราะยึดสุภาษิตประจำใจว่า “สู้ติดแน่ แพ้ติดนาน สารภาพติดพอประมาณ” จึงยอมจบปลายทางกระบวนการยุติธรรมที่ “คุก” นายชูวิทย์ ได้เล่าเรื่องราวอย่างน่าสนใจดังนี้ว่า :-
ตีแผ่ระบบยุติธรรม
.
ผมผ่านคดี เดินขึ้นลงศาล มีประวัติยาวเหยียดเป็นหางว่าวถึงเกือบ 20 คดี
.
รับใช้กระบวนการยุติธรรมตั้งแต่ ตำรวจ อัยการ ศาล
.
สู้คดีเกือบทุกศาลทั้ง ศาลแพ่ง ศาลอาญา ศาลปกครอง ไปยันศาลฎีกา
.
แม้แต่ศาลรัฐธรรมนูญก็เคยตัดสินผมมาแล้ว
.
ทุกคดีความ มีแพ้มีชนะ ไม่มีเสมอ บางคดีเลือกสารภาพไปเลย แม้ทนายความจะกระซิบเสียงเข้มว่าชนะแน่คดีนี้ เหมือน “ไฮโลเปิดถ้วยแทง”
.
แต่จากประสบการณ์ผม รับดีกว่า ยึดสุภาษิตประจำใจ
.
“สู้ติดแน่ แพ้ติดนาน สารภาพติดพอประมาณ”
.
จึงยอมจบปลายทางกระบวนการยุติธรรมที่ “คุก” แม้ว่ายังยื้อเวลาได้ แต่เป็นหนทางที่ผมเลือกเอง เพราะเห็นว่าไม่มีประโยชน์ที่จะสู้ต่อ
.
การเข้าคุกหลายครั้งของผมไม่ได้ทำให้เสียใจ เหมือนตอนเด็กเคยโดนครูตีมาแล้ว จะโดนอีกก็ ยิ้มรับชะตากรรม รู้ว่าเมื่อเข้าไปต้อง
.
“อยู่ให้เป็น เย็นให้พอ รอให้ได้”
.
วันนี้ไม่ใช่วันของเรา แต่เป็นวันที่เราต้องยอมรับ ว่า “มันจบแล้ว”
.
แพ้ให้เป็น ไม่มีใครที่ชนะได้ตลอด หากมี 20 คดี แพ้สัก 5 คดี ติดคุก 3 คดี ก็ถือว่าทำดีที่สุดในการต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรม
.
แต่คุกไม่ได้ขังคนผิดทั้งหมด และคนรอดคุก รอดตะราง ก็ไม่ได้หมายความว่าบริสุทธิ์เสมอ
.
เพราะระบบยุติธรรมเมื่อขึ้นศาล ต้องพึ่ง “พยาน หลักฐาน” เป็นสำคัญ
.
แม้ตำรวจจับ ศาลไม่ให้ประกันตัว นอนคุก ก็ไม่ได้หมายความว่า “ผิด”
.
“ตู้ห่าว” เป็นกรณีที่มีการอำพราง ปิดบัง ช่วยเหลือจากระบบยุติธรรม
.
“ต้นน้ำ” ที่เริ่มจากตำรวจ ก่อนส่งต่อไปที่ “กลางน้ำ” อัยการ และที่ “ปลายน้ำ” ศาล
.
หากตำรวจทำคดีให้บิดเบี้ยวตั้งแต่ต้นน้ำเสียแล้ว กลางน้ำ และปลายน้ำย่อมไม่สามารถตรงได้
.
หรือหากแม้ต้นน้ำจะมาตรง แต่กลางน้ำหวั่นไหว ก็ไปไม่ถึงปลายน้ำได้เช่นกัน
.
ยกตัวอย่างคดี “บอสกระทิงแดง” ที่ถูกทั้งต้นน้ำ ตำรวจ และกลางน้ำอัยการ เขย่าจนสะเทือนไปทั้งวงการยุติธรรม
.
บางคดีมีคน “วิ่งเต้น” หากไม่มี ทำไมกลับเห็นคนวิ่งเต้นหลุด ส่วนคนไม่วิ่งเต้นติดคุก
.
ยิ่งหากเป็นคดีที่ผู้ต้องหาเป็นผู้มีอิทธิพล มีเงินมีทอง โอกาสหลุดรอดมีมาก เพราะต่อสู้นานเป็นปีๆ กระแสเงียบ เล่นใต้ดิน ยิงสลุตจนอ่อนระทวย
.
ท้ายสุด หลุดออกมาอย่างที่สาธุชนคนเดินดินเห็นข่าว งง กันเป็นแถบว่าหลุดได้ไง?
.
และกลายเป็นแค่คำตอบสั้นๆ ที่สื่อลงว่า “พยาน หลักฐานอ่อน”
.
แล้วมันอ่อนได้ไง? เมื่อฝั่งชาวบ้านเห็นตอนจับ ตำรวจบอกมีพยานหลักฐานมากมาย ออกข่าวกัน 7 วัน 7 คืน
.
ยิ่งคดีตู้ห่าวลากยาวถึง 2 เดือนแล้ว ยังสาวไม่จบ
.
มีผมร่วมแจม ดึงหน่วยงานสารพัด ดีเอสไอ ป.ป.ส. แม้แต่อัยการ ให้มาร่วมสอบสวนตั้งแต่ต้นน้ำชั้นตำรวจ
.
กระบวนการยุติธรรมต่อสู้กันไปมาใช้เวลานานเกินไป ตอนจบกลายเป็นว่าพยานหลักฐานไปไม่ถึง ต้องปล่อยตัว
.
ที่ออกข่าวไปตอนต้นดูเป็น “ผู้ร้าย” แต่พอสุดท้ายตอนจบกลายเป็น “ผู้บริสุทธิ์”
.
งานนี้จึงมีความจำเป็นที่ผมในฐานะ “ประชาชน” ที่ใช้ประสบการณ์ทุ่มเท ไม่ให้มีการวิ่งเต้น รู้เท่าทันลูกล่อลูกชนเล่ห์เหลี่ยมทุกชนิด ใต้ดินทุกรูปแบบ
.
เพื่อให้ความยุติธรรมเดินหน้าอย่างตรงไปตรงมาอย่างที่ผมได้รับ มิได้กลั่นแกล้งผู้ใด
.
เมื่อผมรับใช้ความยุติธรรมอย่างตรงไปตรงมาโดยตลอด ย่อมต้องการให้ทุกคนในสังคมนี้ได้รับเหมือนผม
.
ไม่อย่างนั้นมันจะเรียกว่า “ความยุติธรรม” ได้หรือ?
.
หากมันเหลื่อมล้ำบิดเบี้ยว ใช้ไม่เท่าเทียมกัน คนมีเส้นวิ่งเต้นหลุดคดี ส่วนชาวบ้านตาสีตาสาคนเดินดินไม่มีเส้น ติดคุก
.
แม้มันจะเป็นเพียง “อุดมคติ” แต่หากเราไม่มีอะไรยึดถือ จะให้มีกฎหมายไปทำไม?
.
เปรียบเสมือนการมองไปที่กระบวนการยุติธรรมที่บิดเบี้ยว แล้วผมจะพยายามทำให้ตรง แม้เป็นเพียงเศษเสี้ยวที่ทำได้
.
และต้องเหนื่อยยาก เหมือนเอามือไปทุบกำแพง แต่จำเป็นต้องทำ
.
“เมื่อความอยุติธรรมเป็นกฎหมาย การต่อต้านจึงเป็นหน้าที่”