"โหรงเหรงมาก" เวทีถามมา-ตอบไป -บิ๊กตู่เปิดเวทีร่ายยาวอดีตเข้ามาบริหาร 7 ปีเพราะบ้านเมืองไม่สงบ คนไม่มีความสุข แบ่งขั้วต่อต้าน บ้านเมืองเดินหน้าต่อไม่ได้

เวทีถามมา-ตอบไป โหรงเหรงมาก

"โหรงเหรงมาก" เวทีถามมา-ตอบไป  -บิ๊กตู่เปิดเวทีร่ายยาวอดีตเข้ามาบริหาร 7 ปีเพราะบ้านเมืองไม่สงบ คนไม่มีความสุข แบ่งขั้วต่อต้าน บ้านเมืองเดินหน้าต่อไม่ได้





ad1

19 พ.ค. 2565 ที่ห้างสรรพสินค้าสยาม พารากอน กรุงเทพฯ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม เป็นประธานการประชุมเสวนา “ถามมา-ตอบไป เพื่อประเทศไทยที่ดีกว่าเดิม” (Better Thailand Open Dialogue)

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า แม้ฝ่ายประชาสัมพันธ์ของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ( สศช.) จะประชาสัมพันธ์การจัดงานดังกล่าว แต่ปรากฎว่าจนถึงเวลาและ พล.อ.ประยุทธ์เดินทางมาถึงแล้ว เก้าอี้ผู้เข้าร่วมงานก็ยังว่างเกือบครึ่ง จนเจ้าหน้าที่ต้องขอให้สื่อมวลชน และฝ่ายเจ้าหน้าที่มานั่งแทน แต่ยังคงว่างโหรงเหรง จนมีบางคนถึงกับระบุว่าเป็นเพราะประชาชนไม่ให้ความสนใจที่จะฟังการถามตอบของ พล.อ.ประยุทธ์ ทำให้ห้องเสวนาโหรงเหรงว่างเกือบครึ่ง โดยการจัดงานดังกล่าวมีขึ้นระหว่างวันที่ 19-20 พฤษภาคม จัดโดยสมาคมนิสิตเก่าวิศวกรรมศาสตร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สมาคมนิสิตเก่าคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชีแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สมาคมนิสิตเก่าเศรษฐศาสตร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.)

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวบนเวทีทันทีว่า ตนย้อนคิดเสมอ ถึงวันที่ผมตัดสินใจเข้ามาบริหารประเทศเมื่อ 7 ปีก่อน วันนั้นประเทศไทยมีการแบ่งขั้ว สลับกันต่อต้าน โดยเหตุการณ์ดังกล่าวได้เกิดขึ้นต่อเนื่องนับ 10 ปี เป็นเหตุให้บ้านเมืองเดินหน้าต่อไปไม่ได้ คนไทยไม่มีความสุข และประเทศไทยได้ชื่อว่าเป็นคนป่วยแห่งเอเชีย ซึ่งวันนี้ พวกเราหลายคนอาจจะลืมกันไปแล้ว และเมื่อตัดสินใจไปแล้ว ตนได้เดินหน้าทำให้ดีที่สุด

“การมีคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เข้าใจดีว่าต้องแลกกับ การถูกกล่าวหาว่าประเทศเราไม่เป็นประชาธิปไตย ในเวลานั้น คสช.ได้พยายามพิสูจน์ให้ประชาชนเห็นว่า ทุกคนมีเสรีภาพทางความคิด ภายใต้กรอบกฎหมายที่ผ่อนปรนกับทุกฝ่ายมากที่สุด ในช่วงเป็นรัฐบาล คสช. มีอำนาจพิเศษมากมาย แต่ผมก็ไม่ได้ใช้ในทุกกรณี ใช้เท่าที่จำเป็นเพื่อแก้ไขปัญหาเท่านั้น ในส่วนของกระบวนการยุติธรรม การตรวจสอบต่างๆ องค์กรอิสระยังคงทำหน้าที่เป็นอิสระ โดยผมจะไม่เข้าไปก้าวล่วงการทำหน้าที่ใดๆ”

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า วัตถุประสงค์ของการเข้ามาในช่วงนั้น เพื่อดำรงไว้ซึ่งความสงบเรียบร้อยของประเทศ บ้านเมืองเดินหน้าต่อไปได้ และทำให้นานาชาติเกิดความเชื่อมั่นประเทศไทย ทุกคนได้เห็นว่าในช่วงหลังจากนั้น รัฐบาลไทยได้รับการยอมรับจากนานาชาติ และมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามากว่า 40 ล้านคน ในช่วงนั้น รัฐบาลได้บริหารประเทศภายใต้วิสัยทัศน์ ประเทศไทยมีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เป็นประเทศพัฒนาแล้ว ด้วยการพัฒนาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง

การสร้างบ้านสร้างชาติให้เป็นบ้านที่มีความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ตามวิสัยทัศน์ที่วางไว้ จำเป็นต้องมี Master Plan ซึ่งก็คือ ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีระหว่างปี พ.ศ. 2561 – 2580 ประกอบด้วย 1.ด้านความมั่นคง 2.ด้านการสร้างสามารถในการแข่งขัน 3.ด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพ ทรัพยากรมนุษย์ 4.ด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม 5.ด้านการสร้างการเติบโต  บนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และ 6.ด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เมื่อเข้าสู่รัฐบาลใหม่ที่มาจากการเลือกตั้งในปี 2562 ได้มีโอกาสกลับมาสานต่อการบริหารภายใต้รัฐธรรมนูญปัจจุบัน ตนและคณะรัฐมนตรีทุกคน ได้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศอย่างต่อเนื่อง รัฐบาลได้ดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ที่เป็นกรอบเป้าหมาย และแนวทางการพัฒนาประเทศ ให้กับหน่วยงานของรัฐ ทุกภาคส่วน ให้ปฏิบัติตาม โดยจะมีการวัดผลและทบทวนแผนอย่างสม่ำเสมอ ตามสถานการณ์และความจำเป็นของประเทศ ในช่วงเวลานั้น แม้หลายประเทศ รวมถึงประเทศไทยจะได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ แต่ประเทศไทยก็ยังเติบโตได้ดี ในระดับหนึ่ง ซึ่งในระหว่างนั้น รัฐบาลก็ได้พยายามพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ สร้างความเข้มแข็งของอุตสาหกรรมเดิม พร้อมทั้งมุ่งเน้นการยกระดับ   ขีดความสามารถ โดยสร้างอุตสาหกรรมใหม่แห่งอนาคต เพื่อให้สอดรับกับบริบททางเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป