มีนาพารวย !!! พ่อค้าวัว-ควายสุรินทร์ยิ้มออกตลาดคึก-ราคาดี-รับทรัพย์ฮื้อ


ปัจจุบัน “สุรินทร์” กลายเป็นเที่ยวเมืองรอง ที่มีสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย ใครเดินทางมาจังหวัดนี้แล้วต้องมาศูนย์คชศึกษา หมู่บ้านช้าง บ้านตากลาง อ.ท่าตูม มาชมวิถีการเลี้ยงช้าง จนกลายเป็นหมู่บ้านที่เลี้ยงช้างมากที่สุดในเมืองไทยที่ชาวต่างชาติและคนไทย แวะเวียนมาเที่ยวกันไม่ขาดสาย โดยเฉพาะ “งานมหัศจรรย์งานช้างสุรินทร์” ที่ขึ้นชื่อระดับประเทศ
แต่ขณะเดียวกัน “สุรินทร์” ยังมีอารยธรรมและวัฒนธรรมให้ศึกษาอีกมากมาย ทั้งเรื่องผ้าไหมสุรินทร์ รวมทั้ง เมืองเกษตรกรรมและเมืองปศุสัตว์ที่ขึ้นชื่ออันดับต้นๆของประเทศ เรื่องการเลี้ยงโคเนื้อมากที่สุด ส่งผลให้เศรษฐกิจโดยรวม มาจากเกษตรกรรมเป็นอันดับที่ 2 รองจากภาคบริการ
“สุรินทร์” ยังมีการปลูกข้าวหอมมะลิที่ขึ้นชื่อ ส่งออกไปหล่อเลี้ยงมวลมนุตย์ทั้งในประเทศและต่างประเทศ นอกจากพืชเศรษฐกิจสร้างรายได้หลักแล้ว โคเนื้อมีการเลี้ยงกันอย่างมากมายร่วมนับแสนราย ซึ่งมีมากเป็นอันดับสองของประเทศ รองจากจังหวัดอุบลราชธานี จนวันนี้สุรินทร์กลายรายใหญ่ของประเทศ โดยเฉพาะโคเนื้อได้สร้างศักยภาพการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจชุมชนอย่างมหาศาล
สายพันธุ์ที่เกษตรกรผู้เลี้ยงโค มีทั้งโคขุนพันธุ์ลูกผสมวากิว สามารถสร้างรายได้ 80,000-120,000บาท หรือขายเนื้อกันกิโลละ 200-500 บาทเลยทีเดียว ส่วนโคพื้นเมืองสามารถขายได้หลักร้อยต่อกิโลกรัม ส่วนนี้ทำให้เกษตรกรหันมาเลี้ยงโควากิวกันมาก โดยแหล่งผู้เลี้ยงโคขุนโกเบครบวงจร ต.สลักได อ.เมือง จ.สุรินทร์ และผู้ค้าโคขุนนอกจังหวัด ซึ่งสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มในจังหวัดได้สูง
ว่ากันไปแล้ว การเลี้ยงโคขุนพันธุ์ลูกผสมวากิว เป็นการเลี้ยงที่ใช้ระยะเวลานาน ต้องมีความพิถีพิถัน เรื่องอาหาร ส่งผลให้เกษตรกรแบกภาระต้นทุนค่อนข้างสูง รวมทั้ง สายพันธุ์ลูกโคขุนต้องคัดเลือกที่มีคุณภาพสายพันธุ์ดี แต่ราคาแพง ดังนั้น ภาครัฐได้เข้ามาสนับสนุนให้ความรู้การเลี้ยงโคขุน ให้องค์ความรู้เกษตรกร เพื่อให้ผลิตลูกโคได้มีคุณภาพ การให้ความรู้เรื่องผลิตอาหารข้น การเลี้ยงในฟาร์มปลอดโรค เพื่อให้ได้ตามมาตรฐาน GFM และ GAP รวมทั้ง การรวมตัวกันเลี้ยงลดต้นทุนกาผลิต เพื่อให้โคขุนมีมาตรฐานเป็นไปตามความต้องการตลาด ช่วยสร้างรายได้เพิ่มขึ้น
ความเคลื่อนไหวการซื้อขาย วัว ควายเมื่อต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา แถวบ้านสวาย ต.ราม อ.เมือง จ.สุรินทร์ สร้างความหวือหวาอีกครั้ง เนื่องจากมีบรรดานายฮ้อยทั่วทุกทิศ และจากประเทศเพื่อนบ้าน แห่ตบเท้ามาซื้อขายวัว ควายกันอย่ามากมายเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา
เรื่องนี้ “พิรุณ แก้วพินิจ” ผู้ดูแลตลาดแห่งนี้บอกว่า ช่วงปีที่ผ่านมา ต้องยอมรับว่าตลาดวัว-ควายราคาตกต่ำ ส่งผลให้เกษตรกรหลายคน จำเป็นต้องขายแบบตัดทิ้ง บางคนยอมขาดทุน เนื่องจากแบกภาระต้นทุนไม่ไหว ส่วนนี้ส่งผลให้พ่อค้าที่มีทุนมากว้านซื้อ เพื่อรจังหวะราคาที่ดีแล้วขายต่อ
ขณะเดียวกัน ปีนี้ราคาวัว ควายกลับราคาที่ดีขึ้น ส่งผลให้พ่อค้า เกษตรกรผู้เลี้ยงวัว ควาย ต่างขนออกมาขายกันมากมายร่วม 2,000 ตัว ซึ่งพ่อค้าวัวบางคน ปกติจะมีอาชีพทำนา แต่พอหมดฤดูกาลทำนา จะหันมากว้านซื้อวัวจากชาวบ้านมาขาย เพื่อหวังทำกำไร บางคนได้ตัวละ 800-1,000 บาท
ซึ่งโดยภาพรวมผู้ค้าวัว ปีนี้พูดกันเสียงเดียวกัน ปีนี้ยังขายง่าย ซื้อมาขายไปหลายตัว แต่เทียบปีก่อนๆ วัวขายยากมาก เพราะราคาถูก
หากเป็นเช่นนี้ เป็นโอกาสที่พี่น้องเกษตรกร สามารถนำเงินมาใช่หมุนเวียน ทำนา ปลูกข้าว ซื้อปุ๋ยได้คล่องตัวมากขึ้น อย่างน้อยมีเงินทุนมาหมุนเวียนในการใช้จ่าย ไม่ต้องไปกู้หนี้ ยืมสินกันอีก เพื่อนำมาต่อยอดทำเกษตรกรรมกัน