ปฏิบัติการ"ปราบผีเปรต" ยึดทรัพย์แก๊งยักยอกเงินวัดหลวงพ่อพัฒน์ (มีคลิป)

ปฏิบัติการ"ปราบผีเปรต" ยึดทรัพย์แก๊งยักยอกเงินวัดหลวงพ่อพัฒน์ (มีคลิป)





ad1

นครสวรรค์-บชก. เปิดปฏิบัติการ “ปราบผีเปรต” บุกค้น 4 จุด เมืองนครสวรรค์ ตามยึดทรัพย์ ไวยาวัจกร ทุจริตเงินวัดหลวงพ่อพัฒน์ วัดห้วยด้วน อ.หนองบัว  มีทั้ง รถยนต์ 2 คัน เงินสดจำนวน 3 ล้านบาท ทองรูปพรรณน้ำหนักรวม 13 บาท โฉนดที่ดิน 10 กว่าไร่ สมุดบัญชีธนาคาร 10 เล่ เตรียมแจ้งข้อหาเพิ่ม

เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2565 พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว ผู้บังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ นำกำลังตำรวจ บก.ปปป. บก.ปคม. ตำรวจ บก.รฟ. ตำรวจ บก.ปอท. ตำรวจ บก.ทล. รวมกว่า 60 นาย เข้าค้น 4 จุด​ บ้านกลุ่มไวยาวัจกรของวัดห้วยด้วน และคนใกล้ชิด ในพื้นที่ อ.ไพศาลี และ อ.หนองบัว จ.นครสวรรค์ เพื่อตรวจค้นหาพยานหลักฐาน​ และอายัดทรัพย์กลุ่มผู้ต้องหาขบวนการทุจริตยักยอกเงินของวัดธารทหารหรือวัดห้วยด้วน ไปเป็นของตน มาดำเนินการตรวจสอบหาที่ไปที่มาของทรัพย์สินดังกล่าว โดยก่อนหน้านี้ได้อายัดเงินกว่า 60 ล้านบาทกับกลุ่มคนสนิทของหวังพ่อพัฒน์ พร้อมเร่งตรวจสอบเส้นทางการเงิน 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการตรวจค้นหาหลักฐานในวันนี้ ทางเจ้าหน้าที่ได้มีการอายัดทรัพย์สินจากบ้านของกลุ่มไวยาวัจกรวัดห้วยด้วนไปเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะที่บ้านของนายเสนาะ ทองปรอน ในพื้นที่ อ.หนองบัว ซึ่งถือเป็นจุดใหญ่ที่สุด ทางเจ้าหน้าที่ได้อายัดทรัพย์สินที่อยู่ภายในบ้าน มีทั้ง รถยนต์ 2 คัน เงินสดจำนวน 3 ล้านบาท ทองรูปพรรณน้ำหนักรวม 13 บาท โฉนดที่ดิน 10 กว่าไร่ สมุดบัญชีธนาคาร 10 เล่ม รวมถึงพระเครื่องเลี่ยมทอง และพระบูชาอีกเป็นจำนวนมาก รวมมูลค่าทั้งหมดนับ 10 ล้านบาท และนอกจากนี้ ยังมีการตรวจยึดอาวุธปืนได้อีก 4 กระบอก และเครื่องกระสุนปืนอีกกว่า 100 นัดด้วย โดยทรัพย์สินที่ถูกอายัดไว้ทั้งหมด ส่วนหนึ่งได้ส่งต่อไปตรวจสอบที่กรุงเทพ และอีกส่วนหนึ่งได้ถูกนำไปเก็บไว้เพื่อรอการตรวจสอบที่ สภ.หนองบัว 

หลังการเข้าตรวจค้น ผู้สื่อข่าวได้สอบถามกับนายเสนาะหนึ่งในไวยาวัจกรของวัดห้วยด้วน ที่ใกล้ชิดกับหลวงพ่อพัฒน์มากที่สุด ได้เปิดเผยว่า รู้สึกน้อยใจที่ตนเองทำความดีมาตลอด แต่สุดท้ายก็ต้องมาโดนแบบนี้ ที่ผ่านมาขอยืนยันว่า ตนเองมีความซื่อสัตย์สุจริต ไม่เคยคดโกงเงินวัดหรือของหลวงพ่อเลยสักบาทเดียว ทรัพย์สินที่เห็นทั้งหมด เป็นสิ่งที่ตนหากินแล้วสร้างขึ้นมาเอง ส่วนเรื่องนี้ จะเป็นการที่ตนถูกกลั่นแกล้งหรือไม่ ตนไม่ขอยืนยัน แต่หากเป็นเช่นนั้นจริง คนกลุ่มพวกนั้น เขาต้องการให้ตนออกห่างจากหลวงพ่อ เพราะที่ผ่านมา มีกลุ่มบุคคลหลายพวกหลายกลุ่มได้เข้ามา แล้วอยากเป็นส่วนหนึ่ง อยากเข้าไปอยู่ใกล้ชิดหลวงพ่อ 

ด้าน พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว ผู้บังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ เปิดเผยว่า ในการตรวจสอบวันนี้ เป็นการอายัดทรัพย์สิน และตรวจค้นหาพยานหลักฐาน ซึ่งยังต้องมีการตรวจสอบอีกหลายขั้นตอน แต่ในเร็วๆ นี้ จะมีการสอบสวน พร้อมกับแจ้งข้อกล่าวหากับกลุ่มไวยาวัจกรของวัดห้วยด้วนทั้ง 4 คนนี้ อย่างแน่นอน ส่วนหลังจากนี้ จะมีการบุกตรวจค้นใครต่อ ขอยังไม่เปิดเผย แต่เรามีเป้าหมายเอาไว้แล้ว  

อย่างไรก็ตาม สำหรับเรื่องดังกล่าว สืบเนื่องมากจากก่อนหน้านี้เมื่อประมาณเดือนตุลาคม 2564 ที่ผ่านมา ได้มีกลุ่มลูกศิษย์ของพระราชมงคลวัชราจารย์(พัฒน์ปญุ ญกาโม) หรือ หลวงพ่อพัฒน์ ปญฺญกาโม เจ้าอาวาสวัดห้วยด้วน เข้าร้องทุกข์กับทาง บก.ปปป. ให้ช่วยตรวจสอบ กลุ่มไวยาวัจกรของวัดห้วยด้วน และคนใกล้ชิด ที่มีอํานาจหน้าที่ดูแลรักษาจัดการทรัพย์สินของวัด หลังพบมีพฤติการณ์ต้องสงสัยทุจริตยักยอกเงินของวัดห้วยด้วน และมีพฤติกรรมไม่น่าไว้วางใจเกี่ยวกับการบริหารจัดการกิจนิมนต์และการดูแลสุขภาพของหลวงพ่อพัฒน์ฯ  พร้อมขอให้ตรวจสอบทรัพย์สินของบุคคลกลุ่มดังกล่าว  

ต่อมา ทางเจ้าหน้าที่ บก.ปปป. จะนำกำลังลงพื้นที่สืบสวนสอบสวนตรวจสอบข้อเท็จจริง ก่อนพบว่าในช่วงระหว่างปี 2563-2564 มีประชาชนผู้ใจบุญนำเงินมาทำบุญมอบให้วัดเป็นเงินรวมกว่า 200 ล้านบาท ซึ่งในจำนวนนี้ มีบางส่วนประมาณ 30-40 ล้านบาท ที่ทางวัดได้นำไปใช้ทำกิจกรรมช่วยเหลือสังคม หรือ สร้างโรงเรียนให้กับประชาชนในพื้นที่ ส่วนที่เหลือไม่ทราบว่าถูกนำไปใช้ทำอะไร จึงได้ตรวจสอบกลุ่มไวยาวัจกรและคนใกล้ชิดหลวงพ่อพัฒน์ คือ นายเสนาะ ทองปรอน, นางชัญญา เพชรสายบัว และนางบุญเชิด สุขจิตร นายกิมหัน สลัดนาค อย่างละเอียด 

ก่อนพบหลักฐานที่แน่ชัดแล้วว่าทั้ง 3 ราย มีการนําเงินของวัดไปเข้าบัญชีในชื่อตนเอง รวมเป็นเงิน 63,034,470 บาท จึงได้อายัดเงินดังกล่าวนำกลับมาส่งมอบคืนให้กับหลวงพ่อพัฒน์ พร้อมกับเชิญตัวบุคคลทั้ง 3 คนมาทำการสอบปากคำและดำเนินคดีตามขั้นตอนกฎหมาย พร้อมเร่งติดตามเงินส่วนที่เหลืออีกหลายสิบล้านบาทนำกลับมาคืนวัด ก่อนจะมีการสรุปสํานวนการสอบสวนส่งให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาจนมีความเห็นให้ส่งคดีดังกล่าวกลับมาให้ทางพนักงานสอบสวน บก.ปปป. ดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมาย.