‘ปลัดกลาโหม’ แจง กมธ.งบ กระทรวงกลาโหมจัดงบลดลงทุกปีตั้งแต่ปี 64 ยันกองทัพมีแสนยานุภาพเข้มแข็ง เพื่อใช้ต่อรองนโยบายการเมืองได้ 

ปลัดกลาโหม’ แจง กมธ.งบ กระทรวงฯ

‘ปลัดกลาโหม’ แจง กมธ.งบ กระทรวงกลาโหมจัดงบลดลงทุกปีตั้งแต่ปี 64 ยันกองทัพมีแสนยานุภาพเข้มแข็ง เพื่อใช้ต่อรองนโยบายการเมืองได้ 





ad1

วันนี้ (18 ก.ค. 65) พล.อ.วรเกียรติ​ รัตนานนท์ ปลัดกระทรวงกลาโหม เข้าชี้แจงต่อกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2566 ว่า กระทรวงกลาโหมได้รับงบประมาณมีสัดส่วนลดลงทุกปี นับตั้งแต่ปี 2564 จำนวน 6.55% ปี 2565 6.51% ปี 2566 6.19%  หากเทียบกับสัดส่วนจีดีพีของประเทศลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยปี 2563-2565 เฉลี่ย 1.22% และปี 2566 1.10% 

จากสถานการณ์โลกและปัจจุบันมีความผันผวน และเสี่ยงนำไปสู่ความขัดแย้งโดยการใช้กำลังทหาร การใช้อาวุธที่เกิดจากนโยบายด้านยุทธศาสตร์ การแข่งขันขยายอำนาจของจีน สหรัฐฯ รัสเซียและประเทศพันธมิตร ที่นำไปสู่การขยายพื้นที่การสะสมอาวุธนโยบายต่างประเทศแบบเลือกข้างและใช้นโยบายเศรษฐกิจ และจากการสำรวจพบว่างบประมาณด้านกำลังทหารโลกเพิ่มขึ้น 2.1 ล้านล้านบาท และมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง 

“กระทรวงกลาโหมตระหนักข้อจำกัดงบประมาณของประเทศ จัดลำดับความสำคัญ อาวุธยุทโธปกรณ์ ควบคู่พัฒนาอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ กำลังพลสำรองและนโยบายมิตรประเทศ เสริมสร้างอำนาจทางทหาร จะเห็นว่างบประมาณกระทรวงกลาโหมปี 2566 ไม่สูงเมื่อเทียบภารกิจ แม้ไม่ส่งเสริมเศรษฐกิจ  แต่สร้างความมั่นคงด้านการลงทุน กองทัพมีแสนยานุภาพมีความเข้มแข็ง เพื่อใช้ต่อรองนโยบายการเมืองได้เช่นเดียวกัน” พล.อ.วรเกียรติ กล่าว

ด้าน พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด กล่าวว่า ข้อมูลความมั่นคงมีชั้นความลับตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีจึงขอให้ระมัดระวังในการนำไปเผยแพร่ภายนอกกับบุคลคลอื่น ทั้งนี้ทุกประเทศต้องจัดกำลังทหารป้องกันประเทศ ปกป้องอธิปไตย รับมือภัยคุกคาม แม้ความมั่นคงที่ประเมินเป็นตัวเลขไม่ได้ แต่ก็คือความอยู่รอดของประเทศ ส่งผลถึงเศรษฐกิจความเป็นอยู่ประชาชน การเสริมสร้างกำลังทหารเป็นไปตามรัฐธรรมนูญมาตรา 52 และพ.ร.บ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม 2551 

ทั้งนี้ กองทัพไทยประกอบไปด้วยเหล่าทัพ ซึ่งมีอำนาจหน้าที่เช่นเดียวกัน สำหรับนโยบายจะซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์นั้นเน้นการปรับปรุงยืดอายุการใช้งานการซ่อมบำรุง และยืนยันว่ากระทรวงกลาโหมใช้งบประมาณประหยัดคำนึงถึงสภาพเศรษฐกิจของประเทศความเดือดร้อนของประชาชน อีกทั้งการจัดหาเป็นไปตามขั้นตอนมีการจัดตั้งคณะกรรมการก่อนเสนอกระทรวงกลาโหมทำแผนยุทธศาสตร์ เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน และกระบวนการพิจารณากลั่นกรองเป็นไปอย่างรอบคอบเหมาะสม

“ปัจจุบันกองทัพไทยมียุทโธปกรณ์คิดเป็นเงินรวมทั้งหมดประมาณ 500,000 ล้านบาท การจัดหาทดแทนในส่วนที่จำเป็น และซ่อมบำรุงคิดเป็น 1 หมื่นล้านบาทต่อปี หรือ 2% เพื่อดูแลรักษาให้คงสภาพ รวมถึงงบประมาณด้านการฝึกกำลังพล รวมถึงการสับเปลี่ยนกำลังทดแทน เมื่อมีการปรับย้ายการฝึกร่วมกับมิตรประเทศ ทั้งนี้หากกองทัพไทยเข้มแข็ง ก็สามารถรองรับภารกิจต่างๆ  เช่น โควิด สถานการณ์วิกฤต ภัยพิบัติต่างๆ กองทัพมีความสมบูรณ์ในการแก้ปัญหาเบื้องต้น เพราะมีหน่วยทหารอยู่ทั่วประเทศเข้าถึงพื้นที่รวดเร็ว” พล.อ.เฉลิมพล กล่าว