ตำรวจทางหลวงสกัดจับกุมหนุ่มลักลอบขนแรงงานเถื่อนซุกท้ายกระบะพร้อมคุม 12 ผู้ต้องหาเข้าเมืองผิดกฎหมาย

ตำรวจทางหลวงสกัดจับกุมหนุ่มลักลอบขนแรงงานเถื่อนซุกท้ายกระบะพร้อมคุม 12 ผู้ต้องหาเข้าเมืองผิดกฎหมาย





ad1

กองบังคับการตำรวจทางหลวง (บก.ทล.) เจ้าหน้าที่ชุดจับกุม ร่วมกันจับกุม  นายสุริยนฯ อายุ 43 ปี   ผู้ต้องหาที่ 1 ชาวไทยลักลอบขนแรงงานเถื่อนซุกซ่อนอยู่ท้ายกระบะจำนวน 12 ราย พร้อมตรวจยึดของกลาง 1. รถยนต์ส่วนบุคคล ยี่ห้อ อีซูซุ สีดำ จำนวน 1 คัน 2. กุญแจรถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล ยี่ห้อ อีซูซุ สีดำ จำนวน 1 ดอก 3. แผ่นป้ายทะเบียน จำนวน 2 แผ่น 4. โทรศัพท์มือถือ ยี่ห้อ วีโว สีน้ำเงิน สถานที่พบของกลาง ถืออยู่มือขวาของนายสุริยนฯ จำนวน 1 เครื่อง
โดยสถานที่จับกุม ทางหลวงหมายเลข 323 กม.81-82 (ขาออก กาญจนบุรี) ต.วังด้ง อ.เมือง จ.กาญจนบุรี    วันที่ 16 กันยายน 2566 เวลาประมาณ 05.30 น.

พฤติการณ์ จากการสืบสวน ทราบว่าจะมีขบวนการนำพาหรือช่วยเหลือบุคคลแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายในเส้นทางพื้นที่ จ.กาญจนบุรี ในช่วงเช้ามืด ของวันที่ 16 ก.ย.66 จึงได้จัดกำลัง เพื่อออกตรวจตามเส้นทางที่มีการลักลอบ ขนคนต่างด้าวผิดกฎหมายเข้ามาในพื้นที่ กทม. และ ปริมณฑล 

โดยผ่าน จ.กาญจนบุรี ต่อมา วันที่ 16 ก.ย.2566 เวลาประมาณ 05.30 น. รถวิทยุตรวจการณ์หมายเลขข้าง 2616 ออกตรวจในเขตได้พบรถยนต์ส่วนบุคคล ยี่ห้อ อีซูซุ สีดำ ขับขี่มาตามถนนไทรโยค-กาญจนบุรี ทางหลวงหมายเลข 323 กม.81-82 (ขาออก จ.กาญจนบุรี) ต.วังด้ง อ.เมือง จ.กาญจนบุรี ลักษณะบรรทุกสิ่งของ หนักด้านท้ายของรถมีการติดตั้งแสลนสีดำคลุมท้ายรถ โดยสังเกตุรถยนต์มีน้ำหนักมากกว่ารถยนต์ปกติ

ต้องสงสัยว่ามีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับการขนย้ายแรงงานต่างด้าว จึงได้ขับขี่ติดตามรถยนต์คันดังกล่าว ในระยะประชิด และได้แสดงตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยให้สัญญาณเพื่อให้รถคันดังกล่าวจอด เพื่อจะได้ทำการตรวจค้น แต่เมื่อรถคันดังกล่าวพบเห็นรถยนต์ตรวจการณ์ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ขับติดตามมาและได้เห็นสัญญาณไฟรวมถึงได้ยินเสียงคำสั่งเจ้าหน้าที่สั่งให้หยุดรถ จึงได้ขับหลบหนีด้วยการเพิ่มความเร็ว เมื่อมาถึงบริเวณถนนไทรโยค-กาญจนบุรี ทางหลวงหมายเลข 323 กม.81-82 (ขาออก จ.กาญจนบุรี) ต.วังด้ง อ.เมือง จ.กาญจนบุรี

จากการติดตามของเจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวงทำให้รถยนต์คันดังกล่าวได้หยุดรถ ปรากฏว่าพบนายสุริยนฯ (ผู้ต้องหาที่ 1) แสดงตนเป็นผู้ขับขี่รถยนต์คันกล่าว จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมได้ตรวจค้นตัวนายสุริยนฯ ไม่มีใบอนุญาตขับขี่ ไม่พบสิ่งของผิดกฎหมาย และได้ทำการตรวจค้นภายในรถยนต์คันดังกล่าว ปรากฎว่าพบผู้ต้องหาที่ 2-3 และ 6-13 นั่งอยู่ที่นั่งผู้โดยสารด้านหลังผู้ขับขี่ และผู้ต้องหาที่ 4-5 นอนอยู่ด้านท้ายของรถยนต์ จึงได้ให้ผู้ต้องหาที่ 2-13 แสดงเอกสารหลักฐานประจำตัว

จากการตรวจสอบไม่พบเอกสารยืนยันตัวตนที่ราชการออกให้ สอบถามผู้ต้องหาที่ 2-13 ไม่สามารถสื่อสารหรือพูดภาษาไทยได้ จึงได้ตรวจสอบเอกสารโดยละเอียด ปรากฏว่าทั้งหมดไม่มีหนังสือเดินทางหรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางแต่อย่างใดมาแสดงต่อเจ้าหน้าที่

จากการสอบถามผู้ต้องหาที่ 1 ให้การรับสารภาพว่า วันที่ 16 ก.ย.66 เวลาประมาณ 24.00 น. ได้ขับขี่รถยนต์คันดังกล่าว ไปรับผู้ต้องหาที่ 2–13 บริเวณ ถนนท่าแพ ซอย2 ทางหลวงหมายเลข 3272 ต.ท่าขนุน อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี ซึ่งมีนายสนฯ(ไม่ทราบชื่อ-สกุลจริง) ให้ไปรับผู้ต้องหาที่ 2-13 ในบริเวณดังกล่าว

เมื่อได้รับมาแล้ว ผู้ต้องหาที่ 1 ให้การว่าได้เดินทางออกจาก อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี ผ่านอำเภอทองผาภูมิ, ไทรโยค จนถึงอำเภอเมืองกาญจนบุรี ซึ่งหมายเลขทางหลวงที่ใช้การในการลักลอบขนย้ายบุคคลต่างด้าวนั้น ผู้ต้องหาที่ 1 ให้การว่าได้รับแรงงานต่างด้าว มาจากบริเวณหมู่บ้านท่าแพ ต.ท่าขนุน อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี เพื่อไปส่งบุคคลต่างด้าวปลายทางที่ จ.สมุทรสงคราม และ จ.สมุทรสาคร ซึ่งจะมีการติดต่อการขนย้ายบุคคลต่างด้าว โดยมีนายสนฯ เป็นนายหน้า แจ้งให้ไปรับบุคคลต่างด้าว

โดยการลักลอบขนย้ายบุคคลต่างด้าวในครั้งนี้ มีรถที่ร่วมขบวนการขนย้ายบุคคลต่างด้าวจำนวน 2 คัน เป็นรถที่ใช้ขนย้ายแรงงานต่างด้าวทั้ง 2 คัน จนกระทั่งถูกจับกุมส่วนรถยนต์อีกคันได้หลบหนีการจับกุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจนั้น และผู้ต้องหาที่ 1 ให้การว่า จำหมายเลขทะเบียนไม่ได้ รู้เพียงว่าเป็นรถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล จำรุ่นและสีไม่ได้ เนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการไล่ติดตามจับกุม โดยการลักลอบขนย้ายบุคคลต่างด้าวในครั้งนี้ ใช้เป็นการขับขี่ตามกันมาโดยการทิ้งระยะห่างเป็นช่วงๆ ห่างประมาณ 1-2 กม. ผู้ต้องหาที่ 1 รับว่าได้ลักลอบขนย้ายบุคคลต่างด้าวครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 ได้ค่าตอบแทนเป็นเงินจำนวน 2,000 บาท ต่อบุคคลต่างด้าว 1 คน (จะได้รับค่าตอบแทนทั้งหมดเป็นเงิน จำนวน 24,000 บาท หากเสร็จสิ้นการขนย้ายบุคคลต่างด้าว)

ในการสอบถาม ให้การยอมรับว่า ผู้ต้องหาที่ 2-13 ได้เดินทางมาจาก เมืองยะไข่ โดยเดินทางตามช่องทางธรรมชาติเข้ามาใน ต.เจดีย์สามองค์ อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี จากนั้นได้นั่งรถจักรยานยนต์มาลงเรือ เพื่อมายังบริเวณหมู่บ้านท่าแพ ต.ท่าขนุน อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี โดยมีนายหน้านำมา และจะมีรถยนต์กระบะมารับเพื่อเดินทางต่อไป โดยปลายทางบางส่วนมุ่งหน้า จ.สมุทรสงคราม และ จ.สมุทรสาคร ซึ่งบุคคลต่างด้าวทั้งหมด มีการติดต่อกับนายหน้าฝั่งประเทศไทยและประเทศเมียนมาหลายคน โดยผู้ต้องหาที่ 2-13 จะต้องจ่ายเงินเป็นค่าการเดินทางเข้ามาในประเทศไทย จำนวน 20,000 บาท โดยได้จ่ายเงินให้นายหน้าชาวเมียนมาเป็นผู้รวบรวมเงินจากฝั่งประเทศเมียนมาก่อนออกเดินทางหลบหนีเข้าประเทศไทย

เจ้าหน้าที่ชุดจับกุม จึงแจ้งให้ทุกคนทราบว่า การกระทำดังกล่าวมีความผิด จะต้องถูกจับกุม โดยแจ้งข้อกล่าวหาว่า ผู้ต้องหาที่ 1 “ช่วยเหลือซ่อนเร้นหรือช่วยด้วยประการใดๆ ให้บุคคลต่างด้าว ที่หลบหนีเข้ามาในราชอาณาจักรไทยโดยผิดกฎหมาย, ขับขี่รถโดยไม่ได้รับอนุญาต และ ใช้แผ่นป้ายทะเบียนสำหรับอีกคันหนึ่งมาใช้กับอีกคันหนึ่ง” ผู้ต้องหาที่ 2–13 กระทำความผิดฐาน “เป็นบุคลต่างด้าว หลบหนีเข้ามา และอยู่ในราชอาณาจักรไทยโดยไม่ได้รับอนุญาต” และได้ควบคุมตัวทั้งหมดมาทำบันทึกจับกุม และได้นำตัวผู้ต้องหา พร้อมด้วยของกลาง ส่ง พนักงานสอบสวน สภ.ลาดหญ้า เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย จากสอบถามคำให้การผู้ต้องหาเบื้องต้น รับสารภาพทุกข้อกล่าวหา